ท่ามกลางวิกฤตโลกเดือดที่ท้าทายมนุษยชาติ เราจะได้ยินเรื่อง ความเป็นกลางทางคาร์บอน(carbon neutrality) และการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ (net zero) ที่อ้างว่าเป็นทางออกมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกประเด็นที่มาแรงแซงทางโค้งนอกจาก “ป่าคาร์บอน” แล้ว ก็คือการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage-CCS)

สิ่งเหล่านี้ที่อ้างว่าจะช่วยกอบกู้โลกเดือดนั้นถูกบรรจุในนโยบายสภาพภูมิอากาศทั้งในแผนที่นำทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Nationally Dertermined Contributions-NDCs) และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (LT-LEDS) ประเทศไทยเองก็ไม่น้อยหน้าใคร ในปี 2565 คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อผลักดันเทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน(CCS Subcommittee) มีการเปิดตัวแผนแม่บท(the CCS Master Plan) ต่อมาในปี 2566 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจัดประชาพิจารณ์แก้ไขพระราชบัญญัติปิโตรเลียม(Petroleum Law Amendment)เพื่อกำกับดูแลการดำเนินงาน CCS แต่ยังไม่กำหนดเวลาบังคับใช้

แต่เมื่อเราสืบค้นข้อมูลอย่างละเอียดลึกซึ้งในเรื่องนี้ การรู้เท่าทันเป็นสิ่งจำเป็น ก่อนที่จะตกเข้าไปใน “กลลวง” ของอุตสาหกรรมฟอสซิลซึ่งมีอิทธิพลสูงในการโน้มน้าวทิศทางนโยบายของรัฐ มีเหตุผลอย่างน้อย 10 ประการต่อไปนี้ที่ชี้ว่าการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไม่สมควรไปต่อ

นักกิจกรรมกรีนพีซ บนเรือยาง กางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “Fossil Gas = Climate Crisis”หรือ “ก๊าซฟอสซิล = วิกฤตสภาพภูมิอากาศ” ด้านหน้าแท่นขุดเจาะก๊าซฟอสซิล โครงการแหล่งอาทิตย์ ในอ่าวไทย พื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ   แหล่งก๊าซฟอสซิลอาทิตย์ ดำเนินการโดยบริษัท ป.ต.ท. สผ. ถือเป็นโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) แห่งแรกของประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2570 กรีนพีซ ประเทศไทยเรียกร้องให้บริษัท ป.ต.ท.สผ.หยุดการฟอกเขียวด้วยการยุติโครงการ CCS ในทันที เพราะการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตโลกเดือดได้
© Greenpeace

1)ได้ไม่คุ้มเสีย

โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนถูกผลักดันในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จนถึงปี ​​2566 บริษัทและรัฐบาลต่าง ๆ ประกาศโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล (Offshore CCS) แห่งใหม่มากกว่า 50 โครงการทั่วโลก หากทำได้ทั้งหมด จะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ 450 ล้านตัน จะถูกอัดเข้าไปใต้ทะเล/มหาสมุทรทุก ๆ ปี (ประมาณ 200 เท่าทุกปีเมื่อเทียบกับระดับปัจจุบัน) แต่ปริมาณดังกล่าวก็คิดเป็นเพียงร้อยละ 1.5 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งโลกในแต่ละปีเท่านั้น

2) ความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดเดา

โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล (Offshore CCS)หลายโครงการออกแบบให้ดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมตามพื้นที่ต่าง ๆ และนำมารวมกันเพื่ออัดเข้าไป ณ แหล่งกักเก็บรวมใต้ทะเลนั้นเป็นแนวทางที่ไม่มีการทดสอบมาก่อน ก่อให้เกิดคำถามถึงความปลอดภัย ปัญหาทางเทคนิค และความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้โครงการไปต่อไม่ได้ ทั้งโลกมีตัวอย่างเรื่องนี้เพียง 2 กรณีในนอร์เวย์ ขนาดว่ามีการออกแบบ CCS ไม่ซับซ้อนและมีขนาดเล็ก ก็ยังเจอปัญหาที่คาดเดาไม่ได้ 

3)ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น

ฉากหน้าคือการดักจับและกักเก็บคาร์บอน แต่ฉากหลังคือการขยายการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล (Offshore CCS) จะมาพร้อมกับโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลโครงการใหม่ เช่น การผลิตไฮโดรเจนจากฟอสซิล เป็นต้น นอกจากนี้ อุตสาหกรรมฟอสซิลยังใช้เทคโนโลยี CCS มาเป็นข้ออ้างในการขุดเจาะแหล่งน้ำมันและก๊าซแห่งใหม่ที่มีคาร์บอนเข้มข้น

4) การกักเก็บคาร์บอนใต้พื้นผิวโลกอาจทำให้น้ำใต้ดินปนเปื้อน

เกิดแผ่นดินไหว และเข้าแทนที่แหล่งน้ำเค็มซึ่งอาจเกิดความเป็นพิษ เราจะเผชิญกับความเสี่ยงเหล่านี้ในวงกว้างจากโครงการ CCS ที่จะมีขึ้น  ขนาดของโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล(Offshore CCS)จะสร้างความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการจัดการแรงดันในแหล่งกักเก็บคาร์บอนและการตรวจสอบการรั่วไหลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในส่วนลึกของมหาสมุทร ต้องมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นท่อส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งบนบกและนอกชายฝั่ง เรือขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทางเรือและระบบราง ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน สุขภาพ และความปลอดภัยเพิ่มเติมจากการขนส่ง การรั่วไหล และการแตกร้าวของท่อขนส่ง

5)โครงการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลมากที่สุด

ความเสี่ยงหลักของการรั่วไหลมาจากปฏิกิริยาของของคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดเข้าไปในหลุมน้ำมันและก๊าซ การพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล( Offshore CCS) กลับเป็นพื้นที่เดียวกับแหล่งที่มีการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซอย่างเข้มข้นมายาวนาน เช่น อ่าวเม็กซิโกของสหรัฐอเมริกา และทะเลเหนือของยุโรป ซึ่งมีหลุมน้ำมันและก๊าซฟอสซิลที่เลิกใช้แล้วจำนวนมาก

6) ทะเลและมหาสมุทรของโลกจะยิ่งวิกฤตมากขึ้น

การผลักดันโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล( Offshore CCS)อยู่บนแนวคิดแบบเดียวกับที่ทำให้ทะเลและมหาสมุทรตกอยู่ในภาวะวิกฤตในปัจจุบัน นั่นคือ ทะเลและมหาสมุทรเป็นแหล่งทรัพยากรที่ไร้ขีดจำกัดในการแสวงหาผลประโยชน์ และเป็นแหล่งกักเก็บของเสียของมนุษยชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กิจกรรมอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่งที่มีอยู่เดิมสร้างผลกระทบต่อทะเลและมหาสมุทรจากการที่มีการรั่วไหลตามท่อส่งบ่อยครั้ง ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานที่เลิกใช้งานแล้วมักจะถูกปล่อยทิ้งไว้ที่พื้นทะเลโดยไม่ได้รับการตรวจสอบ ความล้มเหลวของอุตสาหกรรมและหน่วยงานกำกับดูแลในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานนอกชายฝั่งนี้ ทำให้เกิดคำถามต่อความสามารถในการจัดการโครงข่ายอุปกรณ์ใต้ทะเลทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล( offshore CCS)ได้อย่างปลอดภัย การรั่วไหลและอุบัติเหตุอื่นๆ อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ละเอียดอ่อน และทำให้น้ำทะเลโดยรอบมีความเป็นกรดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดวิกฤตความเป็นกรดในมหาสมุทร

7)มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เงินอุดหนุนจากภาษีประชาชน

เทคโนโลยี CCS มีต้นทุนสูง และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งใช้งานก็สูงขึ้น ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องการการอุดหนุนโดยใช้งบประมาณจากสาธารณะ เพื่อจ่ายให้กับผู้ก่อมลพิษเพื่อฝังมลพิษบางส่วนอย่างมีประสิทธิผล แทนที่จะกำหนดให้พวกเขาหยุดสร้างมลพิษตั้งแต่แรก ค่าใช้จ่ายที่สูงส่วนใหญ่ของ CCS ตกเป็นภาระของสาธารณะ ผ่านทางเครดิตภาษี การค้ำประกันเงินกู้ และการจัดหาเงินทุนรูปแบบอื่น ๆ รัฐบาลทุ่มเงินหลายพันล้านให้กับการวิจัยและพัฒนา และเงินอุดหนุนอื่นๆ

ในกรณีโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย ปตท.สผ.(PTTEP) ตั้งเป้าดักจับและกักเก็บคาร์บอน 700,000-1,000,000 ตันต่อปี ภายใต้แผน net zero ของไทย ประมาณว่าจะใช้ทั้ง CCS และ BECCS ดักจับและกักเก็บคาร์บอน 61.3 ล้านตันภายในปี 2608 เมื่อคำนวณต้นทุนที่ 100-200 เหรียญสหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การดักจับและกักเก็บคาร์บอนดังกล่าวนี้จะใช้เงินลงทุนมหาศาลประมาณ 200,000-400,000 ล้านบาท

People vs Polluters: Tata Steel in Netherlands. © Marten  van Dijl / Greenpeace
The site of the steel factory of Tata Steel. © Marten van Dijl / Greenpeace

8)ความไม่เป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ

ระบอบกฎหมายมีขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินของโครงการ Offshore CCS ทั้งที่จริง กฎหมายและข้อบังคับในประเทศและระหว่างประเทศที่มีอยู่จะต้องได้รับการตีความและนำไปใช้เพื่อปกป้องมหาสมุทร ชุมชน และสภาพภูมิอากาศจากภัยคุกคามที่เกิดจากโครงการ offshore CCS

9) ความล้มเหลวในการกำกับดูแล

กฎหมายและข้อบังคับเฉพาะของโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล(Offshore CCS) ที่กำลังพัฒนาขึ้นจะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงมากมายจากการอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงใต้ทะเล และมีคำถามว่าด้วยการติดตามผล การจัดการ และความรับผิดในระยะยาว รัฐบาลต่างๆ จะต้องสร้างกลไกที่ให้อุตสาหกรรมฟอสซิลมีภาระรับผิด ก่อนที่งบประมาณจากภาษีประชาชนจะถูกเทไปยังโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล( offshore CCS)และสร้างความเสียหายมากขึ้น

10) หลายโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

ไม่ว่าจะโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ดิน(on shore CCS)หรือใต้ทะเล(offshore CCS) ก็พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวหลายครั้ง โครงการ CCS ที่เป็นโครงการนำร่องส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายตั้งไว้ หรือล้มเหลวในการดำเนินการเนื่องจากต้นทุนที่มากเกินไป อย่างเช่น โครงการ Gorgon บนเกาะ Barrow ในออสเตรเลีย บริษัทเชฟรอนซึ่งเป็นผู้ดำเนินการนั้นล้มเหลวที่จะกักเก็บคาร์บอนให้เป็นไปตามเป้าหมายอันเนื่องมาจากปัญหาการจัดการแรงดันของในระบบ ปัญหาดังกล่าวนี้ยังเกิดขึ้นกับโครงการ Snøhvit ของบริษัท Equinor ในนอร์เวย์ซึ่งกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเลซึ่งตามแผนจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ 18 ปี แต่เพียงดำเนินงานไปได้ 2 ปี ก็เกิดปัญหาแรงดันจนต้องหาหลุมปิโตรเลียมใหม่ ปัจจุบัน โครงการ CCS เชิงพาณิชย์มีเพียงไม่กี่โครงการที่ดำเนินอยู่ เช่น โครงการ Snøhvit และ Sleipner ในนอร์เวย์ ต้องเผชิญกับความท้าทายที่คาดไม่ถึงซึ่งทำให้ความเป็นไปได้และความปลอดภัยของเทคโนโลยีกลายเป็นคำถาม 

ต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและเท่าเทียมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่เป็นหายนะ และเพื่อปกป้องระบบนิเวศทางธรรมชาติ การดักจับและกักเก็บคาร์บอนทั้งใต้ดินและใต้ทะเลไม่อาจตอบโจทย์นี้ได้เลย


แหล่งข้อมูล

  1. Deep Trouble: The Risks of Offshore Carbon Capture and Storage (November 2023) https://www.ciel.org/wp-content/uploads/2023/11/Deep-Trouble-The-Risks-of-Offshore-Carbon-Capture-and-Storage.pdf
  2. https://www.greenpeace.org/thailand/press/21395/press-climate-emergency-cop26/ 
  3. https://insightplus.bakermckenzie.com/bm/projects/thailand-draft-amendment-to-the-petroleum-act-to-regulate-carbon-storage-business#:~:text=2514%20(1971)%20(%22Draft,in%20the%20Draft%20Petroleum%20Act.
  4. https://www.nortonrosefulbright.com/en-th/knowledge/publications/3f25baee/global-carbon-capture-and-storage-regulations-a-driver-or-barrier-to-ccs-project-development#section9
  5. https://ieefa.org/wp-content/%20uploads/2022/03/Gorgon-Carbon-Capture-and-Storage_The-Sting-in-%20the-Tail_April-2022.pdf 
  6. https://ieefa.org/wp-content/%20uploads/2022/03/Gorgon-Carbon-Capture-and-Storage_The-Sting-in-%20the-Tail_April-2022.pdf