อาหารที่เราบริโภคในปัจจุบันนี้กำลังส่งผลกระทบต่อโลกอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากการผลิต บรรจุภัณฑ์ การขนส่ง และการประกอบอาหารที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี เรายังมีวิธีง่าย ๆ ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งจะเป็นก้าวแรกสู่การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
หากใครที่คิดจะเปลี่ยนแปลงวิถีการบริโภคเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีอยู่ ก็ควรคำนึงถึงการบริโภคที่เป็นมิตรต่อดาวเคราะห์สีน้ำเงินของเราด้วย และนี่คือ 5 วิธีที่เราควรทำเพื่อลดผลกระทบต่อโลกนี้:
1. ลองบริโภคผักใบเขียว
เราอาจเคยได้ยินชื่อ ผักคะน้าใบหยิกหรือ kale ซึ่งเป็นผักที่ได้รับความนิยมเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่เพียงแค่ผักคะน้าใบหยิกเท่านั้นที่เป็นที่นิยม แต่สาหร่ายทะเลก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความหวังไว้ว่าจะเป็นอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุด
ด้วยความสามารถเติบโตใกล้ชายฝั่งทะเลได้ดีรวมทั้งชอบน้ำเค็มมากกว่าน้ำจืด และใช้พื้นที่น้อยจึงทำให้ช่วยลดทรัพยากรในการเพาะปลูก นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังมีสารอาหารและช่วยทำความสะอาดสารพิษซึ่งส่งผลเสียต่อมหาสมุทรของเราอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น นักวิทยาศาสตร์ยังอ้างว่าการที่สาหร่ายทะเลยังเติบโตเร็วนั้นเป็นสิ่งที่ดีโดยเฉพาะความสามารถในการดักจับก๊าซคาร์บอนที่มนุษย์ปล่อยออกมา และหากถามถึง ความสามารถในการดักจับคาร์บอน แล้ว เราอาจพูดได้ว่าสาหร่ายทะเลนั้นเป็นผู้ชนะเลิศ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การลดโลกร้อนของสาหร่ายทะเลได้ที่นี่
2. ลดเศษขยะจากอาหารให้ได้มากที่สุด
หากนำขยะจากอาหารทั้งโลกมารวมกัน เราจะสร้างเกาะได้เกาะหนึ่ง และมันก็เป็นตัวการใหญ่ติดอันดับสามที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเลยทีเดียว ในประเทศแถบตะวันตก อาหารขยะเหล่านี้เกิดจากการห่อหุ้มอาหารด้วยพลาสติก ห่วงโซ่อาหารที่ไร้ประสิทธิภาพ และการเลือกผักหรือผลไม้จากความสวยงามตามแบบที่เกษตรกรหรือซูเปอร์มาร์เก็ตนิยมทำ อย่างไรก็ดี ปัญหาอาหารขยะยังมีทางแก้ไข
องค์การอาหารและการเกษตร (FAO) กล่าวว่า 1ใน 3 ของอาหารของโลกนั้นกลายเป็นเศษอาหาร ทั้งนี้ องค์การอาหารและการเกษตร ยังพบร่องรอยเกี่ยวกับผลกระทบของอาหารขยะต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
หากไม่มีการคำนวณเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน รอยเท้าคาร์บอนจากการผลิตอาหาร และอาหารที่ไม่ได้รับการบริโภคมีประมาณเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 3.3 ตัน กล่าวคือ เศษอาหารเป็นตัวการก่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน สำหรับรอยเท้าคาร์บอนจากการบริโภคน้ำจากแหล่งน้ำใต้ดินและแหล่งน้ำบนดินทั่วโลกในสัดส่วนที่ถูกนำมาใช้และเหลือจากการบริโภคนั้นมีมากถึง 250 ลูกบาศก์กิโลเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยน้ำในแต่ละปีของแม่น้ำวอลกาหรือสามเท่าของทะเลสาบเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ท้ายที่สุดแล้ว การผลิตอาหารที่ไม่ได้บริโภคเป็นการสูญเสียพื้นที่การเพราะปลูกไปกว่า 1.4 พันล้านเฮกตาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับร้อยละ 30 ของพื้นที่เกษตรของโลก
เราช่วยลดอาหารขยะได้ด้วยการ:
- เช็คตู้เย็นหรือตู้กับข้าวทุกครั้ง แล้วจดรายการวัตถุดิบที่ขาดก่อนออกไปซื้อทุกครั้ง
- จัดการอาหารอย่างชาญฉลาด เช่น นำผักหรือผลไม้ที่เหลือมาแปรรูปเป็นน้ำปั่นแสนอร่อย หรือซุป
- ปลูกผักหรือผลไม้เองถ้าสามารถทำได้
3. ลดปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์
จาก กระบวนการนำเนื้อจากฟาร์มจนถึงแหล่งขายที่มีน้ำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ในกระบวนการ มีผลวิจัยชิ้นใหม่ออกมาแล้วพบว่า เนื้อที่เราบริโภคนั้น (โดยเฉพาะเนื้อแดง) มีผลกระทบต่อโลกเพราะมันมีส่วนในการก่อให้เกิดสภาวะโลกร้อน
หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน รายงานว่า การงดปริโภคเนื้อแดงสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้เท่า ๆ กับการงดใช้รถยนต์ ยิ่งไปกว่านั้น ผลวิจัยยังได้ทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคแล้วได้ผลว่า ชาวอังกฤษที่รักในการบริโภคเนื้อสัตว์มีแนวโน้มที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่าเพื่อน ๆ ของเขาที่รับประทานอาหารมังสวิรัติถึง 2 เท่า
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่แค่พฤติกรรมการบริโภคบนบกของเรายังไม่ยั่งยืนแล้ว แต่พฤติกรรมการบริโภคอาหารทะเลของเราก็กำลังทำร้ายมหาสมุทรอีกด้วย เราจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงการประมงทั่วโลกและต่อสู้กับมลพิษทางอากาศ รวมไปถึงความเป็นกรดของหาสมุทร อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
สิ่งที่เราทำได้:
- เลือกรับประทานเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าแทนวัวที่เลี้ยงด้วยธัญพืช
- หากทานมังสวิรัติไม่ได้ เราอาจจะศึกษาจากเซอร์พอล แมคคาธนีย์ หรือ คริส มาร์ติน เพราะพวกเขาทานมังสวิรัติทุก ๆ วันจันทร์
- หากทานมังสวิรัติอยู่แล้ว (และรักในการรับประทานด้วย) ก็สามารถ ลดรอยเท้าคาร์บอนลงได้อีกจากบทความ
4. ค้นหาผู้ผลิตอาหาร
สิ่งหนึ่งที่เรายังไม่ทราบก็คือ ชาวประมงส่วนใหญ่ในทุกวันนี้เป็นแรงงานทาส และอุตสาหกรรมทาสก็ยังทำเงินได้ กว่า32,000 ล้านดอลล่าสหรัฐฯ ซึ่งอุตสาหกรรมทาสนี้อาจครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทานของอาหารที่เราชื่นชอบ
ปัจจุบันนี้ กรีนพีซยังคง ทำงานเพื่อช่วยเหลือระบบอุตสาหกรรมและรัฐบาล เพื่อปรับปรุงสภาวการณ์ของอาชีพชาวประมงในอุตสาหกรรมประมง ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงมากที่สุดในโลก ชาวประมงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในสัญญาการบังคับใช้แรงงานเกือบทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่ค่าจ้างที่ต่ำมาก สุขาภิบาลที่ไม่เพียงพอ ขาดอุปกรณ์ความปลอดภัย ขาดพื้นที่ส่วนตัว ไปจนถึงชั่วโมงการทำงานอันยาวนาน นอกจากนี้อาจประสบอันตรายเช่น การค้ามนุษย์หรือแม้กระทั่งการฆาตกรรมในทะเลอีกด้วย
จากนี้ จะต้องไม่มีการใช้แรงงานทาส ผลผลิตที่ได้จากอุตสาหกรรมทาสจะไม่อยู่ในซูเปอร์มาเก็ต ในร้านอาหาร หรือในครัวของเราอีกต่อไป เราสามารถเลือกซื้ออาหารจากร้านที่มีห่วงโซ่การผลิตที่สะอาดไม่มีอุตสาหกรรมทาสเข้ามาเกี่ยวข้องได้
5. บริโภคอาหารในท้องถิ่นอาหารปลอดสารพิษ
โชคดีที่การบริโภคอาหารจากท้องถิ่นเป็นหนทางที่ดีในการลดการผลิตอาหารอย่างไม่ยั่งยืน การสร้างขยะจากอาการ อีกทั้งยังประหยัดในเรื่องของการขนส่งและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งการบริโภคอาหารจากท้องถิ่นและอาหารปลอดสารพิษนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศของเรา ซึ่งวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้คือสอบถามว่า อาหารที่เราเลือกซื้อนั้นมีที่มาจากแหล่งผลิตใด คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เราได้ซื้อผักผลไม้สด ๆ จากแหล่งกำเนิดแน่นอน!