HIGHLIGHTS:

  • 23 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติอนุญาตให้ใช้สารเคมีเกษตรสามตัว ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต ต่อไปได้ โดยให้เหตุผลว่าข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ
  • มติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย สวนทางกับมติของคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีประกอบด้วยตัวแทนจากหกกระทรวงโดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ที่เสนอให้ให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 2 ชนิด คือ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส
  • ในปัจจุบันมี 53 ประเทศทั่วโลกที่แบนพาราควอต แม้แต่ประเทศผู้พัฒนา ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ และประเทศเจ้าของผลิตภัณฑ์
  • ก่อนหน้านั้นไม่ถึงเดือน (27 เมษายน 2561) ชาติสมาชิกในสหภาพยุโรปได้มีมติให้แบนการใช้สารกำจัดศัตรูพืช นีโอนิโคตินอยด์ ในแปลงเปิดทั้งหมด เนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงต่อผึ้ง
  • เรื่องจริงช็อคโลกในเรื่องนี้ก็คือประเทศในยุโรปมิเพียงแต่ปกป้องพลเมืองของพวกเขาจากสารเคมีเกษตรที่อันตราย แต่พวกเขายังปกป้อง “สัตว์” จากภัยคุกคามจากสารเคมีเกษตรอีกด้วย

 

ประเด็นด้านการเกษตรและสาธารณสุขที่ร้อนที่สุดในบ้านเราตอนนี้คงจะหนีไม่พ้นการที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ “ไม่ยกเลิก” การใช้สารเคมีพาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต แต่ให้จำกัดการใช้แทน โดยให้เหตุผลว่าข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ ซึ่งต่อจากนี้กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องออกมาตรการควบคุมภายใน 2 เดือน ทั้งการนำเข้า การซื้อ การใช้ของเกษตรกร รวมทั้งอบรมให้ความรู้กับเกษตรกร

มติอันไม่เป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมนี้ได้สร้างความสงสัยให้กับภาคประชาสังคมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนของคณะกรรมการ และข้ออ้างที่ว่า “ข้อมูลไม่เพียงพอ” ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคประชาสังคม จำนวนมากก็ได้นำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับกระทบทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด

ทำไมต้องเป็นพาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต

พาราควอต

เป็นสารเคมีกำจัดวัชพืช (ยาฆ่าหญ้า) คนทั่วไปรู้จักในชื่อทางการค้าว่า “กรัมม็อกโซน” สารเคมีชนิดนี้มีพิษเฉียบพลันสูงต่อมนุษย์ ไม่มียาถอนพิษ และมีผลกระทบเรื้อรังต่อสุขภาพ เช่น ก่อโรคพาร์กินสัน สมองเสื่อม แม้ใส่อุปกรณ์ป้องกันก็ยังสามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยการสัมผัสทางผิวหนังรวมทั้งบาดแผล แล้วซึมเข้าร่างกายจนเกิดอันตรายถึงชีวิต ทั้งยังพบตกค้างในอาหาร สิ่งแวดล้อมและมนุษย์จากการวิจัยของหลายสถาบัน นอกจากนี้พาราควอตยังสามารถผ่านจากมารดาไปสู่ตัวอ่อนในครรภ์ จากการศึกษาของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบการตกค้างของพาราควอตในซีรั่มทารกแรกเกิดและมารดาระหว่าง 17-20% และหากมีประวัติการขุดดินในพื้นที่เกษตร ยิ่งมีความเสี่ยงในการตรวจพบพาราควอต คิดเป็น 6 เท่าของหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีการขุดดิน

คลอร์ไฟริฟอส

เป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอีกหนึ่งชนิดที่ส่งผลกระทบต่อแม่และเด็กได้ มีงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติที่ระบุว่า สารเคมีดังกล่าวส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก ทำให้มีอาการสมาธิสั้น ไปจนถึงปัญหาด้านความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้าน นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ได้
งานวิจัยตรวจสารพิษตกค้างในผักและผลไม้ของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา รายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล และข้อมูลการตรวจสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผัก-ผลไม้ ของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ให้ข้อมูลที่สอดคล้องกัน โดยพบว่าคลอร์ไฟริฟอสเป็นสารเคมีที่ตกค้างมากที่สุดในกลุ่มสารกำจัดแมลง

ไกลโฟเซต

เป็นสารเคมีกำจัดวัชพืช คนทั่วไปรู้จักในชื่อทางการค้าว่า “ราวด์อัพ” สารเคมีชนิดนี้สามารถส่งผลกระทบต่อแม่และเด็กได้ ซึ่งสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติภายใต้องค์การอนามัยโลกได้เผยแพร่รายงานในปี 2558 โดยกำหนดให้ไกลโฟเซตเป็น “สารที่น่าจะก่อมะเร็ง” (probably carcinogenic to humans) ในมนุษย์ เนื่องจากมีหลักฐานเพียงพอว่าก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง และหลักฐานที่หนักแน่นว่าก่อให้เกิดความผิดปกติของสารพันธุกรรม (ทำลายยีน-โครโมโซม) นอกจากนี้ยังมีข้อค้นพบว่า ไกลโฟเซตสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายชนิดเพิ่มมากขึ้น เช่น เบาหวาน โรคอ้วน อัลไซเมอร์ และทำให้เซลล์รกได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน

ในประเทศไทยพบไกลโฟเซตปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม โดยมหาวิทยาลัยนเรศวร พบการตกค้างของไกลโฟเซตในน้ำดื่มบรรจุขวดที่ผลิตในจังหวัดน่านเฉลี่ย 10.1 ไมโครกรัมต่อลิตร และพบในน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค 11.26 ไมโครกรัมต่อลิตร โดยมีระดับการตกค้างในหลายตัวอย่างที่เกินค่ามาตรฐานของบางประเทศ การตกค้างของไกลโฟเซตในสิ่งแวดล้อมและในร่างกายของแม่และทารกเป็นสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากมีงานวิจัยชี้ว่าการตกค้างแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อได้

ตัวแทนเครือข่ายเกษตรยื่นหนังสือขอให้บริษัทเคมีเกษตรรายใหญ่ไม่ต่อทะเบียนสารเคมีร้ายแรง

แล้วองค์กรภาครัฐและภาคประชาสังคมได้ทำอะไรบ้าง?

  • พฤศจิกายน ​2559 การประชุมวิชาการเพื่อเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้มีการนำเสนอข้อมูลการตกค้างของสารกำจัดศัตรูพืชในแม่และทารก รวมถึงการนำเสนอข้อเสนอยกเลิกและจำกัดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีอันตรายร้ายแรง 3 ชนิด
  • 5 เมษายน 2560 คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีประกอบด้วยตัวแทนจากหกกระทรวง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งนักวิชาการและตัวแทนจากภาคประชาสังคมเสนอให้ให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 2 ชนิด คือ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส และจำกัดการใช้ไกลโฟเซตอย่างเข้มงวด
  • 19 กันยายน 2560 ท่าทีบ่ายเบี่ยงของภาครัฐนำไปสู่การเคลื่อนไหวหน้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมกันกับที่ศาลากลางจังหวัด 48 แห่งทั่วประเทศเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไม่ต่อทะเบียนให้กับพาราควอทและคลอร์ไพรีฟอสที่กำลังจะหมดอายุลงในวันที่ 10 ตุลาคม 2560
  • 16 ตุลาคม ​2560 (วันอาหารโลก) ตัวแทนเครือข่ายเกษตรได้ยื่นหนังสือขอให้บริษัทเคมีเกษตรรายใหญ่ (ซินเจนทา และเจียไต๋) ไม่ต่อทะเบียนสารเคมีร้ายแรง แต่ข้อเรียกร้องไม่เป็นผล
  • ผลจากการขับเคลื่อนทำให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตราย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซตขึ้นมา ในเดือนธันวาคม ​2560 เพื่อพิจารณาการยกเลิกสารเคมีดังกล่าว
  • 3 มกราคม 2561 กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกันอีกครั้งตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี โดยทั้งสามกระทรวงยังยืนยันตามมติของคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560
  • 16 พฤษภาคม 2561 ประชาคมวิชาการซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากหลายสถาบัน เช่น สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยนเรศวร เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการใช้สารพิษที่มีความเสี่ยงสูงตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขโดยเร็ว
  • 23 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติอนุญาตให้ใช้สารเคมีเกษตรสามตัว ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต ต่อไปได้ โดยให้เหตุผลว่าข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ
  • 23 พฤษภาคม 2561 เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง 369 องค์กร ได้แถลงการณ์แสดงความเสียเสียใจต่อมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายโดยระบุว่า คณะกรรมการชุดนี้มีตัวแทนที่มาจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหลัก มีการใช้เอกสารที่เป็นข้อมูลล้าสมัยขัดแย้งกับข้อมูลเชิงประจักษ์และงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับความเป็นพิษและผลกระทบจากสารพิษเหล่านี้ รวมทั้งมีกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียจากสมาคมอารักขาพืชไทย ซึ่งเป็นสมาคมการค้าของบริษัทสารพิษ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ร่วมอยู่ในกระบวนการตัดสินใจ ซึ่งอาจผิดกฎหมายวัตถุอันตราย มาตรา 12
  • 5 มิถุนายน 2561 เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษร้ายแรง เชิญชวนประชาชนทั่วประเทศร่วมกันชุมนุมใหญ่คัดค้านมติกรรมการวัตถุอันตราย

ขณะที่เรากำลังถอยหลังยุโรปก็เดินหน้าไปอีกก้าว

ในขณะที่หนทางสู่การปกป้องคนและสิ่งแวดล้อมในบ้านเราให้พ้นจากภัยสารเคมีเกษตรจะดูมืดมนเต็มที่ แต่หนทางของประเทศในยุโรปกลับดูสว่างไสว ไม่นานมานี้ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปได้สนับสนุนแผนการแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช นีโอนิโคตินอยด์ ของคณะกรรมาธิการยุโรป โดยมีตัวแทนจาก 16 ประเทศได้ออกเสียงสนับสนุนการแบนในครั้งนี้
คาดการณ์ว่าการอนุมัติในวันที่ ​27 เมษายนที่ผ่านมาจะทำให้การแบนนีโอนิโคตินอยด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ส่งกระทบต่อผึ้งและแมลงที่จำเป็นจะมีผลบังคับใช้ก่อนสิ้นปี 2561 และนั่นหมายความว่าสารเคมีชนิดนี้จะสามารถใช้ได้เฉพาะในโรงเรือนปิดเท่านั้น

การแบนนีโอนิโคตินอยด์สามตัวหลักครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากสาธารณชน โดยมีคนเข้าร่วมลงชื่อสนับสนุนร่วมกับกลุ่ม ​Avaaz เกือบ 5 ล้านคน “การแบนสารเคมีพวกนี้คือความหวังอันแสนหวานของผึ้ง” แอนโตเนีย สตัช กล่าว “ในที่สุด รัฐบาลของพวกเราก็รับฟังพลเมืองของพวกเขาเสียที หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และเกษตรกรที่รู้ว่าผึ้งไม่สามารถอยู่ร่วมกับสารเคมีพวกนี้ และเราก็ไม่สามารถมีอยู่ได้โดยปราศจากผึ้ง”

แล้วประชาชนอย่างเราจะทำอะไรได้

ทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกอนาคตที่ปลอดภัยให้กับตัวเองและลูกหลาน การต่อสู้ที่เข้มแข็งของภาคประชาสังคมได้ทำให้รัฐบาลต้องกลับมาฟังเสียงของประชนชนมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่ารัฐบาลจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตามพวกเขาล้วนมีหน้าที่ปกป้องประชาชนไม่ใช่ผลกำไรของบริษัทขนาดยักษ์เพียงไม่กี่รายบนหายนะของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ถ้าเราไม่ส่งเสียงของเราออกไปนั่นหมายความว่าเรากำลังยอมแพ้ให้กับความไม่ชอบธรรมในสังคม การต่อสู้ในครั้งนี้ยังต้องการเสียงสนับสนุนอีกมาก มาร่วมกันลงชื่อเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม เกษตรกร เยาวชน และตัวคุณเอง www.change.org/paraquat

ตัวแทนจากเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง เรียกร้องให้รัฐบาลไม่ต่อทะเบียนพาราควอทและคลอร์ไพรีฟอส

อ้างอิง

วัชรพล แดงสุภา ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านอาหารและเกษตรกรรมเชิงนิเวศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Comments

Leave your reply