เมื่อพูดถึง ‘ภาวะโลกร้อน’ จะเห็นภาพธารน้ำแข็งค่อย ๆ ละลาย อุณหภูมิที่ขั้วโลกสูงขึ้นหรือไฟป่าที่ออสเตรเลียเป็นสิ่งที่โดดขึ้นมาในความคิดชาวฮ่องกงส่วนใหญ่ การฉายภาพเหล่านี้ดูเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากตัวเรามาก ในความเป็นจริงแล้ว มันใกล้ตัวเรามากจนอาจจะบอกได้ว่าปากเราก็สัมผัสได้

ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไรกัน? เอกสารบันทึกอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จำนวนมากโดยสถานีอุตุนิยมวิทยาฮ่องกงในหลายปีมานี้บอกอะไรเราบางอย่าง ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในฮ่องกงจริง ๆ โดยไม่ต้องสงสัย ศิลปินโจอี้ เหลียง ฉายวิดีโอพิพิธภัณฑ์อาหารของกรีนพีซซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แยกขาดกันไม่ได้ของวิกฤตอาหารและวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และอาจจะไม่มีอาหารทั่ว ๆ ไป อย่างน้ำผึ้ง กาแฟ แซลมอนแล้วเหมือนในปัจจุบัน!

เด็กหญิงกำลังเอร็ดอร่อยกับขนมปังและน้ำผึ้งโดยคนเลี้ยงผึ้งจากฟาร์มออแกนิกในโตเกียว © Kengo Yoda / Greenpeace

เป็นที่รู้กันดีว่าคนฮ่องกงขึ้นชื่อในการชิมระดับโลก ถึงแม้จะอยู่ในช่วงของโรคระบาด เราก็เพลินเพลิดไปกับอาหารจากทั่วทุกมุมโลกที่บ้านได้ ทั้งอาหารทะเล เนื้อนุ่ม ๆ กาแฟ จนถึงข้าว  เรามีรสชาติที่ชอบของตัวเองจากการบริโภคอาหารจากแหล่งของมันโดยตรง ไม่ยากที่จะบอกว่าการกินของเราเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความสัมพันธ์ที่ตัดขาดกันไม่ได้ระหว่างอาหาร ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้

ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้จัดการประชุมสุดยอดผู้นำผ่านระบบออนไลน์ว่าด้วยการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2564 (The Climate Adaptation Summit – CAS) ในวันที่ 25 มกราคม โดยมีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ภาคเอกชน และองค์กรที่รวบรวมและแบ่งปันข้อมูลเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์กว่า 3,000 คนจากมากกว่า 130 ประเทศลงนามในแถลงการณ์ทางวิทยาศาสตร์ และเรียกร้องให้ผู้นำโลกจากหลากหลายภาคส่วนลงมือเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่จะกระทบทุกคนได้ ดังเช่นการขาดแคลนน้ำ และการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตร

อาหาร 5 ชนิดที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

ในอนาคตอันใกล้ อาหารที่ชาวฮ่องกงชอบ และอยู่ในชีวิตประจำวันอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในคอลเลคชั่น ‘พิพิธภัณฑ์อาหาร’ แทน เรื่องนี้ดูเพ้อฝันไปหรือเปล่า หากคุณได้ลองอ่านบทความนี้ดู จะรู้ว่าจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อเท็จจริงที่เรากำลังจะแบ่งปันกับคุณนั้นไม่ไกลตัวเลย แต่เราจะไม่ข่มขู่คุณด้วยตัวเลขที่น่ากลัวและข้อเท็จจริงต่างๆ ในทางกลับกันจากการเข้าใจว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามต่ออาหารที่เราโปรดปราน 5 ชนิด เราหวังว่าคุณจะร่วมกับเราเพื่อปกป้องสภาพแวดล้อม และช่วยโลกจากวิกฤตภูมิอากาศ

1. อาหารหลัก รวมถึงข้าว

ชาวนาเกี่ยวข้าวหลังจากได้รับความเสียหายจากไต้ฝุ่นมังคุดที่ปัวตานในตอนเหนือของฟิลิปปินส์ © Richard Atrero de Guzman / Greenpeace

ตามรายงานโมเดลวิจัย [1]พบว่าผลผลิตข้าวลดลงโดยเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงปลายศตวรรษที่ผ่านมา เช่น ผลผลิตข้าวสาลีลดลง 21.0% , ข้าวบาเลย์ฤดูหนาวลดลง17.3% และ ข้าวบาร์เลย์ฤดูใบไม้ผลิลดลง33.6% วิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจทำให้กำลังการผลิตข้าวลดลงถึง 33.0%

80% ของข้าวที่ชาวฮ่องกงส่วนใหญ่บริโภคทุกวันถูกนำเข้ามาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิทยาศาสตร์ติดตามข้อมูลของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (the Intergovernmental Panel on Climate Change -IPCC) ที่ชี้ให้เห็นว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสูญเสียพื้นที่การเกษตร 1 ล้านเฮกตาร์ภายในศตวรรษนี้ เป็นผลจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น [2]  องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติปล่อยรายงาน ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอุตสาหหรรมข้าวในเอเชีย : ความเกี่ยวโยงต่อนโยบายการค้า’ [3] ซึ่งบ่งชี้ว่าไทย เวียดนาม และอินโดนีเซียอาจเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด หากประเทศเหล่านี้ไม่มีแผนการการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี การผลิตข้าวซึ่งต้องอาศัยปริมาณน้ำที่มากพอจะเผชิญกับการลดลงของผลผลิตถึง 50% ภายในปี 2643

2. อาหารทะเล รวมถึงแซลมอน

จากบทความ ‘ภาพยนตร์หลังวันสิ้นโลก : คลื่นความร้อนฆ่าสิ่งมีชีวิตทางทะเลทั้งมวล’ ของสำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์ นักวิทยาศาสตร์ประมาณการณ์เบื้องต้นถึงผลกระทบรวมจากความร้อนเป็นพิเศษ และภัยแล้งที่ถูกบันทึกทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาว่าส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเลหลายร้อยล้านตัวซึ่งอยู่ในทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทธแปซิฟิก รวมถึงหอยแมลงภู่ ปูเสฉวน ปลิงทะเล ฯลฯ

การเปลี่ยงแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล อาหารทะเลที่ชาวฮ่องกงมากมายชอบอย่างแซลมอนก็ไม่ว่างเว้น แซลมอนอ่อนไหวต่อระดับออกซิเจนในน้ำ อย่างไรก็ตามภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น และทำให้ระดับการละลายออกซิเจนในน้ำต่ำลง เป็นภัยคุกคามชีวิตปลาแซลมอนโดยแท้

งานวิจัยพบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อทุกช่วงของวงจรชีวิตแซลมอน [4] ยกตัวอย่างเช่น อุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้นในแม่น้ำอาจส่งผลให้แซลมอนฟักตัวก่อนกำหนด จากนั้นแซลมอนที่คลอดก่อนกำหนดเหล่านี้ยังไม่สามารถพัฒนาทักษะการหาอาหารได้ในเวลาที่มันว่ายน้ำจากแม่น้ำไปสู่ทะเล หรือมันอาจถูกปลาใหญ่กิน ท้ายที่สุดอัตราการผสมพันธุ์ของแซลมอนลดลง จำนวนประชากรแซลมอนอาจลดลงตามไปด้วย และอุปทานแซลมอนไปยังฮ่องกงจะคลาดแคลน

3. กาแฟ

เมล็ดกาแฟเป็นสินค้าสำคัญของโลก แต่อ่อนไหวต่อสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน ความชื้น และแสงแดดล้วนส่งผลต่อรสชาติของกาแฟทั้งสิ้น ในกาแฟป่า 124 ต้น 60% อาจสูญพันธุ์อันเนื่องมาจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ [5] รวมถึงสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมอย่างอะราบิก้า อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจทำให้พืชอ่อนแอต่อศัตรูพืชและโรคโดยเฉพาะเมล็ดกาแฟที่ไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว สภาพอากาศสุดขั้วอาจทำลายต้นกาแฟก่อนที่กาแฟจะออกเมล็ดซะอีก

อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจทำลายพื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกกาแฟกว่า 50% ภายในปี 2593 [6] วิกฤตสภาพภูมิอากาศจะส่งผลต่อการสุกของผลไม้ และทำให้เมล็ดสดแห้งช้าลง ทั้งยังทำให้พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกกาแฟอาจไม่มีอยู่อีกต่อไป

4. ไวน์

ตามรายงานการวิจัยของกรีซพีซสากลพบว่า ภาวะโลกร้อนผลักให้พื้นที่ที่เหมาะสมแก่การปลูกผลไม้ขยับไปสองขั้ว (ไม่ขยับไปทางเหนือก็ทางใต้) ในทางที่ไกลกว่าแหล่งกำเนิดของพืนชนิดนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ไวน์ที่ขณะนี้ถูกผลิตที่แคว้นบอร์โดในทางตอนใต้ของฝรั่งเศสจะต้องย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่สหราชอาณาจักร แชมเปญชื่อดังจากฝรั่งเศสและไวน์ขาวจากอัลซาสจะย้ายไปผลิตที่นอร์เวย์ในตอนเหนือของยุโรปแทน ในไม่ช้าก็เร็วพื้นที่ส่วนมากของฝรั่งเศสจะถูกใช้ผลิตไวน์แทนภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนในปัจจุบัน

ปัจจัยในแหล่งกำเนิดของผลไม้เช่น อุณหภูมิ และปริมาณน้ำฝนส่งผลกระทบต่อคุณภาพการผลิตองุ่น วิกฤตสภาพภูมิอากาศนำมาซึ่งสภาพอากาศสุดขั้วส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องไปถึงความสมบูรณ์ ผลผลิต รสชาติขององุ่น และการผลิตไวน์

ในอนาคตแม้ว่าเราอาจซื้อไวน์จากสถานที่ใหม่ แต่มันอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงในรสชาติที่สัมผัสได้ รสชาติของไวน์ในปัจจุบันอาจไม่เหลืออยู่อีกต่อไป

5. น้ำผึ้ง

ผึ้งรวบรวมเรณูและผสมเกสรดอกส้มที่สวนในโอเดซซา, ตอนกลางของฟลอริด้า © Greenpeace / Robert Meyers

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อการเติบโต และช่วงเวลาออกดอกของพืช ขณะที่สภาพอากาศสุดขั้วสามารถทำให้พืชที่กำลังออกดอกล้มลงด้วยพายุฝน หรือ ระงับการแตกช่อในฤดูหนาวอันอบอุ่น ผึ้งจะผสมเกสรไม่ทันช่วงเวลาที่ดอกไม้บาน ท้ายที่สุดประชากรของผึ้งจะลดลง

บางทีคุณอาจคิดว่าน้ำผึ้งไม่ใช่แหล่งอาหารหลัก มันสำคัญอย่างไร? ตัวเลขในปี 2563 อาจตอบคำถามคุณได้ มูลค่าของอุตสาหกรรมน้ำผึ้งโลกถูกประเมินว่าอยู่ที่ 92 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคงเป็นตัวเอกอย่างผึ้ง

ทำไมผึ้งถึงสำคัญ? [7] เล่าแบบสั้น ๆ คือผึ้งรับบทบาทผู้ผสมเกสรที่สำคัญที่สุดในธรรมชาติ ฐานการเกษตร มากกว่า 14 ล้านแห่งทั่วโลกหรือนับเป็นสามในสี่แหล่งอาหารโลก (ประมาณ 577 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี) ขึ้นอยู่กับการผสมเกสรของผึ้ง ในพืช 100 ชนิดซึ่งเป็นอาหาร 90% ของประชากรโลก 70% ถูกผสมเกสรโดยทั้งผึ้งเลี้ยงและผึ้งป่า

ปกป้องสภาพภูมิอากาศ บรรเทาการขาดแคลนอาหารของโลก สร้างอนาคตที่น่าอยู่

กิจกรรมและอิทธิพลของมนุษย์นำไปสู่วิกฤตสภาพภูมิอากาศเฉีบพลัน เร่งให้ธรรมชาติเสื่อมถอย ทุกวันนี้การสูญพันธุ์ของสายพันธุ์บนโลกกำลังเกิดขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ เมื่อเทียบกับขนาดของการสูญพันธุ์ครั้งที่ห้าเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ความสำเร็จและความล้มเหลวของความหลากหลายทางชีวภาพและวิกฤตสภาพภูมิอากาศนั้นเกี่ยวพันกัน อนาคตของเรากำลังถูกคุกคาม ในการเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเราควรอยู่ร่วมกับระบบนิเวศ แทนที่จะมองเป็นเพียงแหล่งผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์

เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อปกป้องธรรมชาติ? มาร่วมกันลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศ ธรรมชาติจะค้ำจุนทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ตั้งแต่อากาศสะอาด น้ำ จนถึงอาหาร รวมถึงคุณภาพชีวิต 

มาร่วมกันยุติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น และเพื่อทำให้โลกของเราน่าอยู่และมีสันติภาพ

ถึงเวลาปฏิวัติระบบอาหาร

ร่วมเรียกร้องให้ภาครัฐออกกฎหมายติดฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทุกประเภทโดยเปิดเผยถึงข้อมูลการเลี้ยงสัตว์ ที่มาอาหารสัตว์ว่าเชื่อมโยงกับการทำลายป่าและก่อหมอกควันพิษหรือไม่ รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ และการตกค้างในเนื้อสัตว์

มีส่วนร่วม