สัญญาณของวิกฤตชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งไฟไหม้ น้ำท่วม ภัยแล้งยาวนาน โรคระบาด การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต โลกกำลังกรีดร้องอย่างเต็มกำลัง เราต้องรับฟังและลงมือทำบางอย่าง

เราต้องปกป้องระบบสนับสนุนค้ำจุนชีวิตของโลก จากความโลภที่ไม่สิ้นสุดของบรรษัทและสำรวจทบทวนมนุษยชาติในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของโลกธรรมชาติ เพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต เพื่อฟื้นฟูความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ รัฐบาลจำเป็นต้องให้ความสนใจองค์ความรู้ของชุมชนที่สดับตรับฟังและทำงานร่วมกับธรรมชาติผู้ให้กำเนิดมาอย่างลึกซึ้งหลายรุ่นคน และต้องตระหนักถึงและเคารพสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น

Solange Sanhgan อายุ 29 ปี ผู้นำของกลุ่ม Bagyeli ของชนเผ่าปิ๊กมี่ในแคเมอรูนตอนใต้ยืนหยัดเพื่อสิทธิของพวกเขาในการต่อสู้กับบริษัท Socapalm และการขยายการผลิตปาล์มน้ำมันและยางพารา

ธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนจากการเมืองสกปรกคือปัญหา ระบบที่อันตรายนี้ที่กำลังทำลายผืนป่าและมหาสมุทรของเรา กำลังทำลายผู้ปกป้องสิ่งแวดล้อมและผลักให้ผู้คนตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกัน เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติใหม่นั้น เราต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบต่อวิธีการผลิตและบริโภคอาหาร พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ

ในทุกระดับของการบริหารตั้งแต่ชุมชนท้องถิ่นของเราไปจนถึงการประชุมสุดยอดด้านความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติ การตัดสินใจทางการเมืองสามารถช่วยให้เกิดการฟื้นฟูที่ยั่งยืนและเป็นธรรมจากวิกฤติ สร้างความสามารถในการฟื้นคืนและปรับตัวจากโรคระบาดในอนาคต และเอื้อให้ผู้คนและโลกใบนี้ได้จรรโลงสืบสานต่อไป ในขณะที่รัฐบาลทั่วโลกต่างเห็นพ้องร่วมกันถึงขั้นตอนต่อไปเพื่อปกป้องธรรมชาติของโลกสิ่งที่ชัดเจนคือเราจำเป็นต้องมีแผนการที่ดีกว่านี้

การปกป้องผืนดินและมหาสมุทรอย่างน้อย 30% ภายในปี 2030 ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟูโลก เป็นเป้าหมายที่สูงส่งและวัดผลได้ เครือข่ายความปลอดภัยระดับโลกเพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมของชีวมณฑลที่สำคัญเป็นสิ่งสำคัญ และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตลงได้ครึ่งหนึ่ง แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อเราต้องทิ้งแบบจำลองการอนุรักษ์ที่ล้มเหลวขณะเดียวกัน เพื่อขับเคลื่อนในระดับโลกให้ยอมรับถึงสิทธิในที่ดินแบบจารีตประเพณีและเสริมสร้างสิทธิของประชาชน นี่คือหัวใจสำคัญหากประเทศต่างๆ ต้องการที่จะปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ต่อกรกับความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม และบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ

ในขณะที่เขตคุ้มครองทะเลและมหาสมุทรที่มีประสิทธิภาพและได้รับการปกป้องอย่างดี ได้รับการสนับสนุนและประสบความสำเร็จโดยชุมชนท้องถิ่นชายฝั่งทะเล แต่เป้าหมาย 30 × 30 กลับต้องเผชิญกับข้อกังวลอย่างลึกซึ้งจากจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหว ในหลายประเด็น เช่น  การออกแบบโดยไม่มีการปรึกษาหารือที่เหมาะสมและดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง พื้นที่คุ้มครองไม่ประสบผล แต่นำไปสู่เรื่องที่เลวร้ายต่อผู้คน พืชและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ และโลกใบนี้ ร่างปัจจุบันของกรอบการทำงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลกหลังปี 2020 (GBF) ขาดการรับรองที่น่าเชื่อถือต่อผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ความสำเร็จขึ้นอยู่กับแนวทางที่ส่งเสริมทั้งความเป็นธรรมและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยที่กรอบการทำงานภายใต้ GBF ต้องสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งนั้น

เราได้เห็นแล้วว่าพลังของผู้คนสามารถต่อสู้กับบริษัทที่ละโมบอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ใน Cabo Pulmo ของเม็กซิโก ชุมชนท้องถิ่นได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายและกำลังฟื้นฟูสิ่งมีชีวิตในทะเลและวิถีชีวิต ด้วยสิทธิและเครื่องมือทางกฎหมายที่บังคับใช้ ชนเผ่าพื้นเมืองได้ร่วมกันปกป้องดินแดนของตนจากการบุกรุกและการแสวงหาผลประโยชน์ การศึกษาจากบราซิลแสดงให้เห็นว่านี่เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการปกป้องป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพในแอมะซอน

มีศักยภาพมากมายในการสร้างความมั่นใจว่าผู้คนมีวิธีที่จะยืนหยัดขัดขืนการขยายตัวของอุตสาหกรรมซึ่งกระตุ้นให้เกิดการสูญเสียสัตว์ป่าและพรรณพืช เร่งเร้าวิกฤตสภาพภูมิอากาศและความไม่เท่าเทียมกันให้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่นระบบราชการที่ล่าช้าในอินโดนีเซียจะต้องทำให้เรียบง่ายขึ้นและชนเผ่าพื้นเมืองที่ต่อสู้เพื่อการจัดการป่าชุมชนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกจะต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการปกป้องระดับโลกที่ใหม่และมุ่งมั่นมากขึ้น

ชาวนาทำงานในไร่ของเขาใกล้หมู่บ้าน Lokolama ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกซึ่งชุมชนพื้นเมืองได้รับสิทธิในการจัดการที่ดินและปกป้องป่าของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม มีด้านที่มืดกว่าของการอนุรักษ์ซึ่งมุ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนและทารุณกรรมในนามของการอนุรักษ์ จำเป็นต้องหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นสำหรับพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม

สิ่งที่เรียกว่า “ การอนุรักษ์ที่แยกคนออกจากธรรมชาติ”  โดยการขับไสไล่ส่งผู้คนออกจากแผ่นดินที่เป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นมาหลายชั่วอายุคนนั้นเป็นปัญหาที่ลึกซึ้งทางจริยธรรมและก่อผลกระทบที่น่าตระหนกมีการรายงานว่าในลุ่มน้ำคองโกและในพื้นที่หลายแห่ง เจ้าหน้าที่พิทักษ์สิ่งแวดล้อมที่ติดอาวุธ ซึ่งรับทุนสนับสนุนจากผู้บริจาครายใหญ่และองค์กรระหว่างประเทศนั้นได้เข้าคุกคาม ทำร้าย ข่มขืน และสังหารคนในท้องถิ่น ความโหดร้ายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากแบบจำลองการอนุรักษ์ที่ล้มเหลวซึ่งเป็นผลพวงจากลัทธิล่าอาณานิคมที่ถือว่าชุมชนชายขอบและชุมชนที่พึ่งพาผืนป่านั้นเป็นภัยคุกคามต่อสัตว์ป่าและพรรณพืช

เราจำเป็นละทิ้งแนวทางการอนุรักษ์ที่ล้าสมัยนี้ให้หมดสิ้นนี่ไม่ใช่แนวทางกอบกู้วิกฤตระดับโลกที่เราต้องเผชิญและจะต้องทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนที่รัฐบาลต่างๆ จะมองหา “แนวทางง่ายๆ” ในการบรรลุเป้าหมาย 30 × 30 สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่อย่างนั้นจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่เราจะเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของการอนุรักษ์สไตล์โคโลเนียลซึ่งผลักดันให้ผู้คนหลายล้านต้องออกจากผืนแผ่นดินที่ใช้ในการดำรงชีวิต

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดของเป้าหมายการปกป้องที่ดิน คือการเร่งรีบของโครงการชดเชย(คาร์บอน) หรือการฟอกเขียว (greenwashing) ที่อนุญาตให้รัฐและบรรษัทที่มีรอยเท้านิเวศน์ (ecological footprint) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกขนาดใหญ่ สามารถคงแบบแผนธุรกิจที่ไม่ยั่งยืนของตนไว้ได้โดยการลงทุนในพื้นที่คุ้มครองที่มีการจัดการจากบนลงล่าง สิ่งนี้จะทำให้ความไม่เป็นธรรมในสังคมทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ละเมิดสิทธิและทำลายศักดิ์ศรี และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองที่เป็นผู้พิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

ชาวประมงท้องถิ่นล่องเรือของเขาผ่านน่านน้ำของทะเลสาบ Tumba ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ประชากรประมาณ 40 ล้านคนในประเทศพึ่งพาป่าเพื่อความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่น อาหาร ยา และที่พักพิงในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

เราไม่อาจใช้ชีวิตอยู่อย่าง“ กลมกลืนกับธรรมชาติ” ดังที่อนุสัญญาว่าด้วยวิสัยทัศน์ความหลากหลายทางชีวภาพระบุไว้ หากเรายังมุ่งขับไล่ผู้คนออกจากผืนดินของเขาและกีดกั้นการเข้าถึงการใช้ที่ดินตามประเพณี เราไม่อาจเยียวยาผลพวงของการทำลายล้างอันมหึมาที่เกิดจากการขูดรีดตักตวงผลประโยชน์จากทุนอุตสาหกรรมโดยทิ้งภาระให้กับกลุ่มคนผู้มีส่วนน้อยที่สุด

เพื่อทวนกระแสการทำลายธรรมชาติ ผู้มีอำนาจตัดสินใจต้องรับฟัง สนับสนุน และเคารพชุมชนที่อาศัยอยู่อย่างใกล้ชิดและยาวนานกับระบบนิเวศที่สมบูรณ์ รัฐบาลจะต้องรับรองสิทธิในที่ดินของคนท้องถิ่นและชนพื้นเมือง และเป็นผู้นำในการวางแผนและจัดการพื้นที่คุ้มครอง และจัดหาเครื่องมือทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องสิทธิเหล่านี้

การตัดสินใจต่อประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ผู้ที่จะตัดสินใจในการกำหนดรูปแบบเหล่านั้นจะต้องตระหนักถึงวิกฤตที่เชื่อมโยงกันของสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความไม่เท่าเทียมกันในระดับโลก และเสริมสร้างพลังที่เอื้อให้ผู้พิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพช่วยปกป้องเราทุกคน