ชนพื้นเมืองกาปีรูนา (Karipuna) ได้รับชัยชนะหลังจากการต่อสู้เพื่อหยุดการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอน โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อสังเกตการณ์ในป่าไม้ รวมถึงการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อต่อสู้กับผู้บุกรุกป่า และนี่คือเรื่องราวของพวกเขา

ดินแดนบรรพบุรษของชาวกาปีรูนาในป่าลึกแอมะซอนของประเทศบราซิลนั้นควรเป็นบ้านหรือที่หลบภัยสำหรับชาวบ้าน พืชพันธุ์ไม้ และสัตว์ป่ามากมาย

พื้นที่แห่งนี้อยู่ติดกับชายแดนโบลิเวียมีแม่น้ำคดเคี้ยวและป่าฝนเขียวชอุ่มซึ่งเป็นบ้านของชนพื้นเมืองกาปีรูนา (Karipuna) มานานหลายศตวรรษ ชนพื้นเมืองกาปีรูนาอาศัยอยู่รวมกันในหมู่บ้านพานอรามาบริเวณใกล้กับริมฝั่งแม่น้ำจาซี ปารานา 

จุดบรรจบกันของแม่น้ำ จาซี ปารานา (Jaci Paraná) และแม่น้ำฟอโมโซ อาณาเขตของชนพื้นเมืองคาริพูนาตั้งอยู่ในเขตโนว่า มาโมเร่ (Nova Mamoré) และ ปอร์ตู เวญู (Porto Velho) ในรัฐฮอนโดเนียประเทศบราซิล ©Rogério Assis / Greenpeace
หมู่บ้านพานอรามาของชาวกาปีรูนาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแม่น้ำ จาซี ปารานา  ©Rogério Assis / Greenpeace

สำหรับชนพื้นเมืองกาปีรูนาพื้นที่นี้ไม่เพียงแต่เป็นบ้านแต่มันคือประวัติศาสตร์ทั้งหมดของพวกเขา

ชนพื้นเมืองกาปีรูนาอาศัยอยู่รวมกันในหมู่บ้านพานอรามาบริเวณใกล้กับริมฝั่งแม่น้ำจาซี ปารานา 

แม่น้ำคือสิ่งสำคัญต่อชีวิตของชุมชนพื้นเมืองหลายชุมชนในแอมะซอน ทุกสรรพชีวิตล้วนพึ่งพาแม่น้ำ และยังใช้เป็นเส้นทางสัญจรที่สำคัญที่มีมาอย่างยาวนานสำหรับขนส่งสินค้าและการเดินทางไปมา แม่น้ำยังมีบทบาทสำคัญในขนบธรรมเนียมและประเพณีของชนพื้นเมือง

มีแม่น้ำสายอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงได้ไหลผ่านพื้นที่ป่าฝนหนาแน่น ที่ได้รับการดูแลมาช้านานโดยชุมชนบริเวณนั้น

เด็กหนุ่มจากชนพื้นเมืองกาปีรูนากระโดดน้ำเล่นบริเวณแม่น้ำ จาซี ปารานา  © Tommaso Protti / Greenpeace

ชุมชนกาปีรูนาได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มานาน ทำให้พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต สัตว์ต่าง ๆ และพันธุ์พืชรอบตัวเป็นอย่างดี

พบนกมาคอว์แดง หรือ สการ์เล็ต มาคอว์ ในบริเวณที่ชนเผ่ากาปีรูนาอาศัยอยู่  © Rogério Assis / Greenpeace
Dusky Titi Monkey ในป่าฝนแอมะซอน © David Tipling/Universal Images Group/ Getty Images

เช่นเดียวกับชนพื้นเมืองอื่น ๆ ของบราซิล ชนพื้นเมืองกาปีรูนาเพิ่งมีการติดต่อกับสังคมเมื่อไม่นานมานี้ โดยพวกเขามีจำนวนประชากรเพียง 58 คนเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของชนพื้นเมืองที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญของบราซิล (ในทางทฤษฎี)

คาทีก้า กาปีรูนา (Katiká Karipuna) ผู้อาวุโสของชุมชนกาปีรูนา ชนพื้นเมืองแอมะซอนสามารถหาอาหารได้เองจากการล่าสัตว์ ตกปลา และการทำฟาร์มขนาดเล็กในพื้นที่  © Rogério Assis / Greenpeace

แต่การบุกรุกเพื่อตัดไม้ทำลายป่า และนักล่าที่ดินไม่สนใจสิทธิ์ในที่ดินของชนพื้นเมือง รัฐบาลไม่สามารถดูแลได้อย่างครอบคลุมเนื่องจากอาณาเขตของชนพื้นเมืองกาปีรูนาอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลของป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ชาวกาปีรูนา กับการต่อสู้เพื่อปกป้องผืนป่าจาก “การพัฒนาที่ต้องแลกมาด้วยการทำลายป่าไม้”

ป่าแอมะซอนกำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกับอีกหลายแห่งทั่วโลก ที่ความต้องการครอบครองที่ดินได้สร้างแรงกดดันให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว การพัฒนาทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดการทำลายป่าฝนเพื่อนำทรัพยากรจากธรรมชาติไปใช้ เช่น ไม้ แร่ธาตุ หรือการปลูกพืชอย่างถั่วเหลืองเพื่อเป็นอาหารสัตว์

อันเดร กาปีรูนา ชี้ให้เราดูว่านี่คือต้นไม้ที่เกิดจากการบุกรุกผืนป่าอย่างผิดกฎหมายโดยบุคคลภายนอก รัฐบาลบราซิลควรเข้ามาดูแลกำกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง © Rogério Assis / Greenpeace

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนว่าการบุกรุกผืนป่าที่มาในรูปแบบของการพัฒนานี้ถูกสนับสนุนโดยรัฐบาลบราซิลเอง

ในทางปฏิบัตินั้นเท่ากับว่าชนพื้นเมืองต้องต่อสู้กับผู้บุกรุกที่ต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม้ และการทำฟาร์มในพื้นที่นี้

อันเดร กาปีรูนา ยืนอยู่ในบริเวณที่มีการตัดต้นไม้อย่างผิดกฎหมายในอาณาเขตของชนเผ่ากาปีรูนา พวกเขาเผชิญกับการทำลายป่าไม้มากที่สุดในอาณาเขตของชนพื้นเมืองที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญของบราซิล (ป่าแอมะซอน) © Tommaso Protti / Greenpeace

ขณะที่อาเดรียอาโน กาปีรูนา ผู้นำกลุ่มชนพื้นเมืองกาปีรูนากล่าวถึงการต่อสู้นี้ว่า “เราต่อสู้กับการทำลายดินแดนของเรามาเป็นเวลานาน ดังนั้นเราจึงขอเรียกร้องให้เจ้าที่รัฐปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำลายป่าไม้และจะต้องปราบปรามอาชญากรรมนี้”

อาเดรียอาโน กาปีรูนา เข้าร่วมการประชุมของสหประชาชาติในนิวยอร์กเกี่ยวกับปัญหาในชนพื้นเมืองเพื่อจัดการกับภัยคุกคามร้ายแรงที่ชนเผ่ากาปีรูนาเผชิญผ่านการตัดไม้ทำลายป่า ในการประชุมอาเดียอาโนกล่าวถึงการบุกรุกที่ดินที่ได้รับการคุ้มครอง การตัดต้นไม้ในพื้นที่ การขายที่ดิน และการลอบทำเหมืองแร่อย่างผิดกฎหมาย เขาเรียกร้องให้สหประชาชาติรวมถึงรัฐบาลบราซิลต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเพื่อป้องป้องชนพื้นเมืองและป่าฝนของพวกเขา © Luiz Roberto Lima / Greenpeace

ความต้องการพัฒนาในพื้นที่ป่าแอมะซอนไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามต่อชนพื้นเมืองกาปีรูนาเท่านั้นแต่เป็นหายนะสำหรับโลกทั้งหมด หากยังคำนึงถึงเพียงแต่ผลประโยชน์และการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ชัยชนะในความพยายามปกป้องบ้านของตัวเองของชาวกาปีรูนาเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนประชากรเพียงหยิบมือเท่านั้น

ชาวกาปีรูนาใช้การผสมผสานระหว่างความรู้เดิมที่มีมายาวนานเกี่ยวกับดินแดนของตนเองผนวกเข้ากับเทคโนโลยีการตรวจสอบป่าแบบใหม่ และความรู้ทางกฎหมายจนทำให้พวกเขาปกป้องบ้านของตนเองได้

ความสำเร็จของพวกเขาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรีนพีซและองค์กรพัฒนาเอกชนของบราซิลที่เรียกว่า CIMI ยังเป็นสัญญาณของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั่วโลกกับชนเผ่าพื้นเมืองในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ

(จากซ้ายไปขวา) Volmir Bavaresco หัวหน้าสภาชนพื้นเมือง CIMI, Jose Luis Cassupa ผู้ประสานงานขององค์กรชนพื้นเมือง Opiroma และ อาเดรียอาโนผู้นำชนพื้นเมืองกาปีรูนา ถือป้ายที่เขียนว่า “Everyone for the Amazon!”  © Kevin McElvaney / Greenpeace

ป่าแอมะซอนและชนพื้นเมืองตกอยู่ภายใต้การคุกคามมากกว่าที่เคย

ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับชนพื้นเมืองในบราซิลเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ชาวยุโรปเริ่มล่าอาณานิคมในทศวรรษที่ 15 แต่ห้าร้อยปีต่อมาพวกเขากลับมีความท้าทายที่ใหญ่กว่านั้น

นี่เป็นเรื่องใหญ่มากในรัฐบาลขวาจัดของประธานาธิบดีแจร์ โบลซาร์นาโร ซึ่งเคยพูดว่ามีชนพื้นเมืองของบราซิลจำนวนมากเกินไปที่รอดชีวิตจากการยึดครองของยุโรปและมีการจัดสรรที่ดินให้พวกเขามากเกินไปในรัฐธรรมนูญของบราซิล

ความคิดเห็นนี้ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางในสังคมบราซิลและหลายคนมีความเห็นตรงกันว่าพื้นที่ดังกล่าวควรเปิดให้ชาวบราซิลเข้าถึงได้

เท่ากับว่าหากมีการเปิดพื้นที่ให้เข้าถึงได้มากขึ้นจะทำให้เกิดการรุกราน หรือแม้แต่โรคภัยไข้เจ็บซึ่งชนพื้นเมืองมีภูมิคุ้มกันไม่มากนัก ยิ่งในช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจทำให้ชนพื้นเมืองได้รับเชื้ออย่างง่ายดายและนั่นอาจทำให้เกิดความสูญเสีย ที่บางคนเชื่อมโยงว่าไม่ต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

เช่นเดียวกับการลดทอนสิทธิมนุษยชนของชนเผ่าพื้นเมือง วิกฤตไฟป่าที่เกิดขึ้นอย่างน่าตกใจในปี 2562 และ 2563 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าป่าฝนแอมะซอนใกล้ถึงจุดแตกหัก

ไฟลุกไหม้ในระยะไกล © Rogério Assis / Greenpeace

ชนพื้นเมืองจำนวนมากที่พึ่งพาผืนป่าแอมะซอนแห่งนี้ไม่สามารถรอดพ้นอันตรายนี้ได้ เช่นเดียวกับความพยายามในการเอาชีวิตรอดจากภูมิประเทศที่ค่อย ๆ เสื่อมโทรม ควันจากไฟป่ายังทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ที่กำลังคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในชุมชนของพวกเขา

ณ ขณะนี้ภัยคุกคามต่อชนพื้นเมืองกาปีรูนานั้นน่ากลัวกว่าไฟป่าที่กำลังเกิดขึ้นเสียอีก

นอกจากนี้ในปี 2562 ที่ผ่านมาอาณาเขตของชนพื้นเมืองกาปีรูนาถูกบุกรุกพื้นที่กว่า 11,000 เฮกตาร์ สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากการบุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรเหมือนกับทางตอนใต้ของแอมะซอน แต่เป็นการบุกรุกเพื่อตัดถนนผ่านจุดต่าง ๆ สำหรับการจับจองที่ดินในการตัดต้นไม้ไปขาย ผู้บุกรุกถึงกับนำที่ดินที่ตนเข้ามาตัดต้นไม้มาขายอย่างหน้าตาเฉย

พื้นที่ที่ถูกตัดไม้ทำลายป่าล้อมรอบถนนสายใหม่ที่สร้างขึ้นจากผู้บุกรุกในอาณาเขตชนพื้นเมืองกาปีรูนา  © Christian Braga / Greenpeace

ผู้บุกรุกเริ่มจากการทำลายป่าทีละน้อย จนขยายเป็นวงกว้างเป็นจำนวนหลายร้อยไร่ส่งผลให้พื้นที่ป่าลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง

คนตัดต้นไม้ทำสัญลักษณ์ที่ต้นไม้เพื่อนำออกจากอาณาเขตของชนพื้นเมืองกาปีรูนา © Rogério Assis / Greenpeace

คนตัดไม้ คนงานเหมือง และเกษตรกรเริ่มใช้ไม้หรือแร่ธาตุมากขึ้น รวมถึงสร้างฟาร์มปศุสัตว์ขนาดเล็กมากขึ้นด้วย

การที่ป่าฝนแห้งแล้งเป็นหย่อม ๆ มันง่ายมากสำหรับเกษตรกรที่จะจุดไฟเผาพื้นที่หลายพันเอเคอร์ในครั้งเดียว

พื้นที่กว่า 11,000 เฮกตาร์ในอาณาเขตของชนพื้นเมืองกาปีรูนาถูกทำลายจากผู้บุกรุก © Chico Batata / Greenpeace

การต่อสู้ของชนพื้นเมืองกาปีรูนา

ชาวกาปีรูนาได้ติดตั้งเครื่องป้องกันที่ได้ผล หลังจากนั้นทุกอย่างจึงเริ่มเปลี่ยนไป

ชนเผ่ากาปีรูนาได้บูรณาการความรู้ที่สั่งสมมาเป็นเวลานานจากการอาศัยอยู่ในพื้นที่ เข้ากับเทคโนโลยยุคใหม่เพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงในอาณาเขตของเขา

ข้อความต่อต้านการบุกรุกที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของชนพื้นเมืองกาปีรูนาขณะที่ผู้นำของพวกเขากำลังหารือกัน © Fernanda Ligabue / Greenpeace

การเฝ้าสังเกตป่าไม้นั้นจะต้องอาศัยความรู้ในเชิงลึกและประสบการณ์การถูกบุกรุกของชาวกาปีรูนา รวมถึงข้อมูลด้านความหนาแน่นของป่าไม้ที่รวบรวมโดยกรีนพีซ

ชาวกาปีรูนานำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อปกป้องสิทธิในพื้นที่แห่งนี้ของตนเองภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยการรายงานข้อมูลที่พบ และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลที่เข้ามาตัดไม้ทำลายป่า

กรีนพีซเฝ้าสังเกตการทำลายป่าไม้ในพื้นที่ของชนพื้นเมืองกาปีรูนาระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนกันยายน พ.ศ.2563 © Christian Braga / Greenpeace

ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติมและจับกุมผู้บุกรุกในพื้นที่อาณาเขตชนพื้นเมืองกาปีรูนา

ตามรายงานของกรีนพีซบราซิลระหว่างเดือนสิงหาคม 2562 ถึงกรกฎาคม 2563 ป่าไม้ถูกทำลายน้อยลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 49.1%คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะได้รับการยืนยันจากหน่วยงานตรวจสอบดาวเทียมของบราซิล

ชุมชนพื้นเมืองคือผู้ปกป้องผืนป่าอันเป็นบ้านของพวกเขาจากการทำลายป่าไม้พื้นที่อื่น ๆ ของป่าแอมะซอนก็เช่นกัน อย่างทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล อาราริโบยาต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาเพื่อปกป้องบ้านของตนเอง

ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ป่าเดิมของชนพื้นเมืองอาราริโบยาซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของบราซิล เดิมทีพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของป่าฝนแอมะซอนและเป็นบ้านของชนพื้นเมืองกวาจาจารา (Guajajara) กับชนพื้นเมืองอาวา (Awá) คนรุ่นหลังส่วนใหญ่‘ขาดการติดต่อ’กับผู้คนภายนอก หน่วยพิทักษ์กวาจาจาราช่วยปกป้องชนพื้นเมืองอาวาจากบุคคลภายนอกที่เข้ามาตัดต้นไม้หรือทำเหมืองแร่อย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาสามารถนำเชื้อโรคมาติดกับชาวอาวาที่ไม่มีภูมิคุ้มกันได้ © Google Maps

อาเดรียอาโน ผู้นำชนเผ่ากาปีรูนา รู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ หากพูดถึงบ้านเกิด เขากล่าวว่า “แม้จะรู้ว่าตอนนี้ยังคงมีผู้บุกรุกเข้ามาอยู่ตลอด แต่เราหวังว่าการต่อสู้เพื่อต่อต้านการตัดต้นไม้นั้นจะยังดำเนินต่อไป และเราสามารถอยู่อย่างสันติตามขนบธรรมเนียมและประเพณีของเรา”

เปาโล เปาลีนู กวาจาจารา ชนพื้นเมืองกวาจาจาราในบราซิลถูกคนตัดไม้เถื่อนยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 ในอาณาเขตของชนพื้นเมืองอาราริโบยา © Midia NINJA © Patrick Raynaud

การต่อสู้ของชนพื้นเมืองกาปีรูนาเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยโลกเช่นกัน

นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับชาวกาปีรูนาเท่านั้น แต่ยังเป็นข่าวดีสำหรับเราทุกคน ความอุดมสมบูรณ์ของป่าฝนถือเป็นความลึกลับที่ไม่มีใครบอกเราได้ ตั้งแต่การรักษาด้วยปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ที่ยังไม่ถูกค้นพบ ไปจนถึงการแก้ปัญหาที่จะช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั่นคือการดักจับและการกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ

กรีนพีซยืนหยัดอยู่กับชาวกาปีรูนาและชนพื้นเมืองอื่น ๆ ในบราซิล เราสนับสนุนข้อเรียกร้องของพวกเขาที่ต้องการการปกป้องคุ้มครองพื้นที่กาปีรูนาและดินแดนของชนพื้นเมืองอื่น ๆ ในประเทศอีกด้วย