ถนนที่มีรถแน่นทะลัก รถไฟหรือรถโดยสารที่เบียดเสียด ล่าช้า หรือถูกยกเลิกรอบเดินทาง หรือแม้แต่ เส้นทางจักรยานที่ไม่ได้เรื่อง ระบบขนส่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นเหมือนที่กล่าวมาทั้งหมด นี่คือตัวอย่าง 11 สถานที่รอบโลก ที่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้
ระบบขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพียงแค่การปิดถนนสำหรับรถยนต์หรือการสร้างทางจักรยาน การจะเป็นผู้นำจะต้องมีกลยุทธ์ที่มากกว่านี้ แล้วอะไรคือความลับของระบบขนส่งมวลชนที่ประสบความสำเร็จและเหมาะกับคนส่วนใหญ่ และเราจะเปลี่ยนแปลงให้เป็นระบบที่สะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นธรรมต่อทุกคนได้อย่างไร
นี่คือการเจาะลึก 11 สถานที่ทั่วโลกที่นักวางผังเมืองและนักการเมืองวางแผนได้ดี แผนโครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาชีวิตและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงพัฒนาการเดินทางของผู้คนนับล้านให้ดีขึ้นอีกด้วย
1. การสร้างวัฒนธรรมการปั่นในเนเธอร์แลนด์
เนเธอร์แลนด์มีวัฒนธรรมการปั่นจักรยานที่แข็งแรง และมีเส้นทางจักรยานยาว 22,000 ไมล์ ที่น่าอิจฉา แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในช่วงทศวรรษที่ 1950 ถึง 1970 การขี่จักรยานไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากเป็นยุคที่ผู้คนมีกำลังซื้อรถยนต์ได้ ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่การเสียชีวิตจากการจราจรในจำนวนที่สูงขึ้น โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงที่สุด 3,300 รายในปี 2514 ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเด็กมากกว่า 400 คน
นักเคลื่อนไหวที่มีความมุ่งมั่นและการทดลองของรัฐบาลได้เปลี่ยนกระแสนี้ไป ขณะนี้ความรับผิดของผู้ขับขี่ได้รับการแก้ไขแล้วในทางกฎหมาย ดังนั้นผู้ขับขี่รถยนต์จะต้องรับผิดชอบในกรณีที่ชนกับจักรยาน ซึ่งกฎหมายนี้บังคับให้รถยนต์จะต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังและให้เกียรติกันมากขึ้น ในเมืองต่าง ๆ มีการสร้างสะพานเพื่อให้คนเดินเท้าและผู้ใช้จักรยานโดยเฉพาะ และแทบจะไม่มีเลยที่ถนนใหญ่จะไม่มีเลนจักรยานที่มีการป้องกันขนาบคู่ไปด้วย
แต่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องใหญ่ ๆ เท่านั้น The ‘Dutch reach’ (การเปิดประตูรถด้วยมือที่อยู่ตรงข้ามประตู จะทำให้เกิดการหมุนตัวขณะเปิดรถโดยอัติโนมัติ จะทำให้เห็นถ้าหากมีรถจักรยานกำลังขับผ่านมาใกล้ ๆ) สามารถป้องกันอุบัติเหตุและช่วยไว้ได้หลายชีวิต และในตอนนี้ยังถูกใช้ใน UK’s Highway Code อีกด้วย
การเปลี่ยนวัฒนธรรมรถยนต์ต้องใช้เวลา แต่เพื่อการช่วยชีวิตมันก็คุ้มค่าอย่างแน่นอน
2. เปลี่ยนลานจอดรถเป็นทางจักรยานในเมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์
สภาเมืองออสโลเริ่มรื้อถอนจุดจอดรถออกจากใจกลางเมืองในปี 2559 ขณะนี้มีเพียงที่จอดรถสำหรับผู้พิการเท่านั้นและแทบจะไม่มีรถในใจกลางเมืองเลย และมีข้อยกเว้นให้สำหรับรถฉุกเฉินและรถส่งของสองถึงสามชั่วโมงในช่วงเช้า
มีการต่อต้านและกล่าวหาเรื่องการแทรกแซงเสรีภาพของประชาชน แต่นายกเทศมนตรีฝ่ายพัฒนาเมืองของออสโล Hanna Marcussen เห็นต่างออกไป “การไม่จำกัดการใช้รถยนต์เป็นการจำกัดเสรีภาพการใช้ชีวิตของประชาชนในหลาย ๆ ทาง” รถยนต์ทำให้การวิ่งเล่นบนถนนของเด็ก ๆ และการข้ามถนนของผู้สูงอายุเป็นเรื่องยาก และออสโลก็ยังมีปัญหามลพิษทางอากาศอีกด้วย คุณอาจจะโต้แย้งได้ว่ารถยนต์นั้นกำลังจำกัดเสรีภาพของผู้ที่เป็นโรคหอบหืดซึ่งในบางครั้งจะต้องอยู่แต่ในบ้านเมื่อมลพิษมันแย่จนเกินไป เธอกล่าวกับ BBC ในปี 2562
และมันก็ประสบความสำเร็จ ที่จอดรถถูกเปลี่ยนเป็นทางจักรยานเป็นที่ต้องการมากกว่า และการปั่นจักรยานสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และใจกลางเมืองก็เต็มไปด้วยผู้คนเดินเท้า

3. เมืองปลอดรถยนต์ เมืองปอนเตเบดรา ประเทศสเปน
เมืองปอนเตเบดราในประเทศสเปน แบนการใช้รถยนต์ในใจกลางเมืองในช่วงต้นยุค 2000 จากเมืองที่มีรถวิ่งผ่านกว่า 14,000 คันในหนึ่งวันซึ่งมากกว่าจำนวนคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเสียอีก กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสียงนกร้องและบทสนทนาในระดับเสียงปกติ
การจราจรถูกจำกัดไว้เฉพาะพื้นที่รอบนอกซึ่งมีที่จอดรถใต้ดินขนาดใหญ่และมีผู้คนเดินไปมาทุกที่ทั่วเมือง แม้จะมีการจราจรพลุกพล่านรอบนอกเมือง แต่ในตัวเมืองกลับถูกกำจัดไปได้หมด
การเสียชีวิตบนท้องถนนและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงอย่างมาก และเมืองนี้ยังมีประชากรผู้อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นมากกว่า 12,000 คน และด้วยเหตุนี้ ธุรกิจขนาดเล็กจึงสามารถรับมือกับวิกฤติการเงินโลกในช่วงปลายยุค 2000 ได้ดีขึ้น

4. การเข้าร่วมระบบขนส่งสาธารณะและการขี่จักรยานทั่วเมืองในโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย
โบโกตา เมืองหลวงของโคลอมเบีย มีประชากร 7 ล้านคน และได้ชื่อว่าเมืองหลวงของการปั่นและการขนส่งสาธารณะของทวีปอเมริกาหรือไม่ก็ของโลก
เมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว Enrique Peñalosa อดีตนายกเทศมนตรีได้สร้างเครือข่ายเลนจักรยานที่มีการป้องกันกว้าง 300 กิโลเมตร ควบคู่ไปกับถนนคนเดิน ขณะนี้ได้รับการสนับสนุนโดยเครือข่ายรถโดยสารขนส่งด่วนของเมือง ซึ่งจะมีรถประจำทางทุก ๆ 30 วินาทีในช่วงเวลาเร่งด่วน ไม่ให้จอดรถบนถนนและจำกัดรถยนต์ให้เหลือเพียง 40% ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนโดยพิจารณาจากป้ายทะเบียนรถ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คนลดการขับรถยนต์ลง
การขี่จักรยานและระบบขนส่งสาธารณะถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกัน เครือข่ายการขนส่งด้วยรถประจำทางประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรูปแบบ park-and-ride (จอดแล้วจร คือ การขับรถมาจอดที่สถานที่จอดรถที่จัดไว้ให้ แล้วใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพื่อเข้ามาทำงานหรือทำกิจธุระใดใดก็แล้วแต่ในเมือง) ขนาดใหญ่ 6 แห่ง สำหรับจักรยานประมาณ 750 คัน รวมถึงเส้นทางและทางลาดที่ปลอดภัยและปลอดการจราจรสำหรับนักปั่นจักรยาน
นายกเทศมนตรี Peñalosa อธิบายถึงคุณค่าหลักของความเท่าเทียมกันของพลเมืองที่เป็นหัวใจสำคัญของโครงการนี้โดยกล่าวว่า “เส้นทางจักรยานที่ถูกป้องกันเป็นสัญลักษณ์ว่าพลเมืองที่ขี่จักรยานมูลค่า 30 เหรียญนั้นมีความสำคัญเท่าเทียมกับหนึ่งในรถยนต์มูลค่า 30,000 เหรียญ”

5. ระบบรถเมล์ด่วน (Bus rapid transport: BRT) ในเมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
จาการ์ตาเป็นหนึ่งในเมืองที่มีรถยนต์และยานยนต์มากที่สุดในโลก แต่หลังจากการไปเยือนโบโกตาในปี 2546 ผู้ว่าราชการจาการ์ตามีแผนที่จะสร้างระบบรถเมล์ด่วน (BRT) ระยะทาง 12.9 กิโลเมตร ตัดผ่านใจกลางเมืองหลวงของชาวอินโดนีเซีย เนื่องจาก BRT ถูกแยกออกโดยมีแผงกั้นอยู่ในแต่ละด้าน จึงมีความน่าไว้ใจสะดวกและรวดเร็วกว่าบริการรถประจำทางทั่วไปมาก และถูกสร้างเสร็จในเวลาเพียง 9 เดือน
หลังจากการเปิดตัว BRT จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 16 ล้านคนในปี 2547 เป็น 39 ล้านคนในปี 2549 ด้วยระยะเวลาที่น่าประทับใจและอัตราตัวเลขที่น่าทึ่งเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงโครงสร้างของโครงการ เช่น สถานีขนส่งส่วนใหญ่มีการยกระดับเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายจากทางเท้าที่เชื่อมต่อกันด้วยสะพาน เป็นต้น และรถประจำทางจะวิ่งทุก 2-4 นาทีตั้งแต่ 05.00 น. ถึง 22.00 น

6. คนเดินเท้าต้องมาก่อน และแผนสำหรับ ‘เมือง 15 นาที’ ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ขอบคุณนายกเทศมนตรีแอนน์ฮิดัลโก ผู้ใช้ถนนบนฝั่งขวาของแม่น้ำแซนในปี 2549
สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเสียงดังโหวกเหวกและวุ่นวาย ตอนนี้กลับกลายเป็นทางเดินเท้าที่สวยงามและเส้นทางการปั่นจักรยานพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ศิลปะสาธารณะ และพื้นที่สีเขียวตลอดเส้นทาง และถนนรู ริโวลี ถนนชื่อดังที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ตอนนี้มีทางจักรยานที่เป็นที่นิยมใช้กันมากอยู่ด้วย

ในปีนี้ อีดัลโกเปิดเผยแผนของเธอที่จะกำจัดมลพิษจากพาหนะส่วนตัวโดยสิ้นเชิงและสร้างสิ่งที่เธอเรียกว่า ’15 นาทีในเมือง’ ซึ่งชาวปารีสจะมีสิ่งที่ต้องการอยู่หน้าประตูบ้านหรือบริเวณใกล้เคียง ร้านอาหาร สวนสาธารณะ ร้านกาแฟ ศูนย์กีฬา ศูนย์สุขภาพและโรงเรียนอยู่ห่างออกไปโดยใช้เวลาเดินหรือขี่จักรยานพร้อมรองรับการทำงานจากที่บ้านมากขึ้น
มันเป็นแผนที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก รวมถึงโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเดินเท้า 350 ล้านยูโรเพื่อให้แน่ใจว่ามี “เลนจักรยานบนถนนทุกเส้น” ภายในปี 2567 และการยกเลิกที่จอดรถ ถนนนอกโรงเรียนจะปลอดรถยนต์ โรงเรียนจะเปิดให้ชาวบ้านใช้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุด และประชาชนจะสามารถเห็นได้ว่าเมืองนี้ใช้จ่ายงบประมาณไปกับอะไรบ้าง
This is big — Paris Mayor @Anne_Hidalgo confirms that cars will not return to rue de Rivoli. This is a remarkable street transformation that has inspired many cities, so the decision to make it permanent is excellent news. #StreetsForPeople https://t.co/415bU881YF https://t.co/nw4sfkv7CL
— Brent Toderian (@BrentToderian) September 16, 2020
7. เปลี่ยนทางแยกที่รถติดหนักให้กลายเป็นสวนสาธารณะ ในเมืองบาเซโลนา ประเทศสเปน
นักวางผังเมืองในเมืองบาเซโลนากำลังขยาย ‘ซูเปอร์บล็อค’ ที่โด่งดังของพวกเขา เกาะปลอดรถยนต์เล็ก ๆ ในกริดกลางของถนนทอนยาวออกไปมากกว่าสิบบล็อค ในโซนนี้ คนเดินเท้าจะต้องมาก่อน
มีการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2549 ซูเปอร์บล็อคของบาร์เซโลนาสร้างพื้นที่สำหรับผู้คนมากขึ้น สิ่งนี้จำเป็นมากในเมืองที่แออัดซึ่งมีสวนสาธารณะเพียงไม่กี่แห่งและพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ที่น้อยนิด
การขยายตัวนี้จะทำให้เกิด ซูเปอร์-ซูเปอร์บล็อค โดยมีถนน 21 สายในเขตเอชามเปล ที่เข้าถึงได้เฉพาะยานยนต์สำหรับผู้อยู่อาศัย บริการที่จำเป็น หรือการจัดส่งเท่านั้น จัตุรัสที่สร้างขึ้นที่ทางแยกจะปลูกด้วยต้นไม้ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเมืองสีเขียวที่สุดโต่งที่สุดในศตวรรษนี้

8. เส้นทางรถไฟเปลี่ยนเป็นทางจักรยาน จากเมืองบริสตอลไปยังเมืองบาธ สหราชอาณาจักร
โครงการหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตของผู้สัญจรไปมา ผู้คนเดินถนนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือผู้ใช้วีลแชร์ที่อาศัยอยู่ในและรอบ ๆ เมืองบริสตอลและเมืองบาธที่อยู่ใกล้เคียงกัน คือ เส้นทางปั่นจักรยานจากเมืองบริสตอลไปยังเมืองบาธ
เส้นทาง 13.9 ไมล์ถูกสร้างขึ้นจากเส้นทางรถไฟที่ไม่ได้ใช้งานระหว่างสองเมือง ซึ่งเส้นทางนี้ปราศจากการจราจร 97.6% และยางมะตอย 99.7% และกว้างพอสำหรับทุกคนตลอดทั้งความยาวของเส้นทาง และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเส้นทางการเดินทางและพักผ่อนยอดนิยมสำหรับนักปั่นจักรยานและนักเดินและเป็นทางเดินของสัตว์ป่าที่สำคัญ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงยี่สิบนาทีในการปั่นจักรยานและสี่ชั่วโมงครึ่งสำหรับการเดิน
เส้นทางนี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ใช้วีลแชร์และรถเข็น ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากเส้นทางจักรยานแบบออฟโรดทั่วไปที่มีความยาวเท่านี้ นอกจากนี้ยังมีจุดเชื่อมต่อหลายระดับตามเส้นทางของบริสตอลและหลายจุดมีทางเข้าที่มีที่จอดรถสำหรับผู้พิการด้วย

9. การเปิดเส้นทางรถไฟสายเก่าในพรมแดนสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร
ห้าปีที่แล้ว รถไฟสาย Borders Railway จากเอดินเบอระไปยัง Tweedbank ได้เปิดให้บริการอีกครั้งหลังจากปิดไปนาน 40 ปี หลังจากที่ไม่มีรถไฟจอดที่หมู่บ้านระหว่างทางตั้งแต่ปี 2512 เมื่อเกิด Beeching cuts ปิดทางรถไฟในท้องถิ่นหลายพันแห่ง สิ่งนี้ทำให้เมืองและหมู่บ้านเล็ก ๆ หลายแห่งถูกตัดขาดและต้องอาศัยการเดินทางด้วยรถยนต์
แต่ในตอนนี้ ผู้อยู่อาศัยใน Stow ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนเส้นทางนี้ไม่จำเป็นต้องเดินทางด้วยรถยนต์อย่างที่เคยทำมาหลายสิบปีได้แล้ว พวกเขากล่าวว่านี่เป็นการกระตุ้นให้ชุมชนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งรวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้เดินเยี่ยมชมและนักปั่นจักรยานไปยังชนบทใกล้เคียงด้วย
ในเวลาเพียงสามปีหลังจากที่เปิดให้บริการอีกครั้งมีการเดินทางมากกว่าสี่ล้านครั้งบนเส้นทาง และขณะนี้แคมเปญกำลังดำเนินการเพื่อขยายขอบเขตไปยังเมือง Carlisle เพื่อให้สามารถเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นเมื่อประเทศฟื้นตัวจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

10. ยอร์ก เมืองแรกที่วางแผนจะเป็นเมืองปลอดรถยนต์ในสหราชอาณาจักร
ในช่วงปลายปี 2562 สภาที่ปรึกษาของเมืองยอร์ก ได้วางแผนอย่างทะเยอทะยานที่จะจำกัดจำนวนการอนุญาตเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวในใจกลางเมืองประวัติศาสตร์ของยอร์กภายในสามปีเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
ซึ่งหมายความว่าการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่ไม่จำเป็นภายในกำแพงเมืองยอร์กจะถูกห้ามภายในปี 2566 โดยมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้รถ เช่น ผู้พิการ
การระบาดใหญ่ทำให้หลายเมืองได้เห็นว่าการใช้รถยนต์ที่ลดลงอย่างมากจะเป็นอย่างไรและยอร์กเองก็เช่นกัน ในช่วงสองสามสัปดาห์แรกของการปิดเมือง เมืองนี้มีมลพิษทางอากาศไนโตรเจนไดออกไซด์ลดลง 30% ซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพอากาศอย่างมีนัยสำคัญ

11. แอพตัวเลือกสำหรับการขนส่งแบบครบวงจรในเฮลซิงกิ ฟินแลนด์
ในเมืองหลวงของฟินแลนด์การเดินทางสู่สาธารณะไม่ได้หมายถึงการขนส่งสาธารณะเท่านั้น ‘Mobility’ คือบริการสาธารณะที่รวมระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถประจำทางกับจักรยานรับจ้างและแม้แต่บริการเรียกรถ จากนั้นจะเข้าถึงและชำระเงินได้ในแอพเดียวที่เรียกว่า “Whim”
นักวางแผนของเฮลซิงกิออกแบบระบบโดยเฉพาะ เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและตอบสนองความต้องการด้านการเดินทางของผู้คน
ผู้ใช้สามารถสร้างการเดินทางในแอพและสามารถชำระเงินเป็นรายบุคคลหรือสมัครสมาชิกรายเดือน โดยที่ค่าบริการ 59.70 ยูโรต่อเดือน ผู้ใช้จะได้รับบริการขนส่งสาธารณะและจักรยานแบบไม่จำกัด รวมถึงการเดินทางด้วยแท็กซี่ 10 ยูโร ส่วนแพคเกจ 499 ยูโรต่อเดือน Whim จะให้การใช้งานการขนส่งทุกประเภทไม่จำกัด แม้ว่าราคาจะสูง แต่ก็สามารถแข่งขันกับต้นทุนการวิ่งรถในเฮลซิงกิได้
