กรุงเทพฯ, 17 กุมภาพันธ์ 2564 — ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) โดยมี 2 เป้าหมาย ; เป้าหมายที่ 1 ให้ลดและเลิกใช้พลาสติกใช้แล้วทิ้ง 4 ชนิด คือ ถุงพลาสติกหูหิ้ว ความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน กล่องโฟมบรรจุอาหาร (ไม่รวมถึงโฟมที่ใช้กันกระแทกในภาคอุตสาหกรรม) แก้วพลาสติกความหนาน้อยกว่า 100 ไมครอน และหลอดพลาสติก(ซึ่งมีข้อยกเว้นสำหรับการใช้ในกรณีจำเป็น ได้แก่ การใช้ในเด็ก คนชรา ผู้ป่วย เป็นต้น) และเป้าหมายที่ 2 การนำพลาสติกเป้าหมายกลับไปใช้ประโยชน์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของพลาสติกเป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2565 [1]

พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า “มติ ครม. นี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเป้าหมายที่อยู่ใน Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2563-2573 ซึ่ง ครม.มีมติเห็นชอบในเดือนเมษายน 2563 ไปแล้ว จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษระบุว่าจากการดำเนินการในช่วงปีที่ผ่านมาสามารถลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในตลาดสด ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อได้ประมาณ 1,524 ล้านใบ หรือประมาณ 4,385 ตัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อย่างไรก็ตาม ภายใต้แผนปฏิบัติการระยะที่ 1 ซึ่งพิจารณาถึงผู้ผลิตมีส่วนร่วมในการจัดการขยะพลาสติกโดยใช้แนวทาง responsible Consumption and Production นั้นสามารถทำให้ชัดเจนขึ้นโดยประยุกต์หลักการการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต(Extended Producer Responsibility) ให้เป็นกรอบกฏหมายที่ผลบังคับใช้”

ตามแผน Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2563-2573 ในทุกระยะ ก็ยังมีข้อกังวลต่างๆ เกี่ยวกับมาตรการในการจัดการมลพิษพลาสติก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจำเป็นในการทบทวนแนวคิดและนิยามของเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy) ที่อยู่บนฐานของการนำเอาขยะพลาสติกไปเผาเป็นพลังงาน โดยมาตรการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) คือ ส่งเสริมให้มีการนำขยะพลาสติกมาผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel : RDF) ระบุเพียงว่าจะสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องนำไปกำจัดได้ 0.78 ล้านตันต่อปี และการคัดแยกและนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่จะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ 1.2 ล้านตัน แต่ไม่ได้คำนึงถึงการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาขยะพลาสติกเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหากนำขยะพลาสติก 0.78 ล้านตันไปเผา จะปล่อยก๊าซเรือนกระจก 22.83 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า [2] 

พิชามญชุ์ รักรอด ย้ำว่า รัฐบาลต้องผลักดันให้มีกรอบกฏหมายว่าด้วยการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตซึ่งทำให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายเร็ว(Fast Moving Consumer Goods) มีแนวทางและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนในการขยายความรับผิดชอบของตนไปยังช่วงต่าง ๆ ของวงจรชีวิตของบรรจุภัณฑ์ เป็นแนวทางให้ผู้ผลิตคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ, กระจายสินค้า,​ การรับคืน, การเก็บรวบรวม การใช้ซ้ำ การนำกลับมาใช้ใหม่ และการบำบัด และภาครัฐต้องขับเคลื่อนการแก้ปัญหาขยะพลาสติก โดยมุ่งเน้นไปที่การลด (reduce) ใช้ซ้ำ(reuse) และการเติม(refill) และหยุดสนับสนุนวัฒนธรรมการใช้แล้วทิ้ง อันเป็นหนทางในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกอย่างยั่งยืน

หมายเหตุ:

[1] ได้แก่ (1) ถุงพลาสติกหูหิ้ว (HDPE LLDPE LDPE และ PP) 2.บรรจุภัณฑ์ฟิล์มพลาสติกชั้นเดียว (HDPE และ LL/LDPE) 3.ขวดพลาสติก (ทุกชนิด) 4.ฝาขวด 5.แก้วพลาสติก 6.ถาด/กล่องอาหาร และ 7.ช้อน/ส้อม/มีด 

[2] https://www.ciel.org/wp-content/uploads/2019/05/Plastic-and-Climate-FINAL-2019.pdf