อุตสาหรรมเนื้อสัตว์ได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้มากมายทั่วโลก ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไฟป่า ไปจนถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน ชีวิตของผู้คนนับล้านขึ้นอยู่กับการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมลงอย่างรวดเร็ว และไม่ใช่เพียงแค่เนื้อแดงเท่านั้นที่เป็นปัญหา

เนื้อสัตว์ หรือพูดให้เฉพาะเจาะจงกว่านั้นก็คือ ‘เนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรม’ ไม่ดีต่อโลกของเรา

เนื้อส่วนใหญ่ที่ซื้อขายกันในสหราชอาณาจักรนั้นถูกผลิตในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่หนาแน่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในระบบการทำลายโลกของการผลิต

ระบบนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยซูเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Tesco Sainsbury’s และ Asda รวมไปถึงแฟรนไชส์ร้านอาหารฟาสฟู้ดอย่าง KFC Burger King และ McDonald’s ซึ่งร้านอาหารเหล่านี้ซื้อจากบริษัทของ JBS บริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ JBS ผลิตและปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณครึ่งหนึ่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น Shell หรือ BP และกำลังผลักดันการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอน

ระบบอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ต้องใช้ที่ดินจำนวนมหาศาลเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเอง ป่าไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาใต้ถูกฟันและเผาทุก ๆ ปี เพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับให้สัตว์กินหญ้าและปลูกพืชอาหารสัตว์ให้เพียงพอสำหรับเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรมหลายพันล้านตัว

95% ของไก่ในสหราชอาณาจักรผลิตในฟาร์มอุตสาหกรรมเช่นในรูป ในทุกวันมีการบริโภคไก่เกือบสามล้านตัวในสหราชอาณาจักร © Fred Dott / Greenpeace

นี่คือสาเหตุที่เนื้อสัตว์อุตสาหกรรมไม่ดีต่อผู้คนและโลกใบนี้:

1. ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าและไฟป่า

เนื้อสัตว์อุตสาหรรม เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดของการทำลายป่าไม้ทั่วโลก ในบราซิลเกษตรกรจงใจจุดไฟป่า เช่นเดียวกับไฟป่าในป่าฝนแอมะซอนที่คุณอาจเคยเห็นในข่าว เพื่อล้างพื้นที่สำหรับทำฟาร์มปศุสัตว์และปลูกอาหารสำหรับสัตว์อุตสาหกรรม เช่น ถั่วเหลืองสำหรับฟาร์มในสหราชอาณาจักร

ไฟป่าถูกสร้างขึ้นด้วยความจงใจ เพื่อล้างพื้นที่สำหรับให้สัตว์กินหญ้าหรือเพื่อปลูกอาหารสัตว์จำนวนมาก © Campbell Plowden / Greenpeace

2. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผลกระทบของสภาพอากาศจากเนื้อสัตว์นั้นใหญ่หลวง เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขับขี่และการบินของรถยนต์รถบรรทุกและเครื่องบินทุกชนิดในโลกใบนี้

เมื่อป่าไม้ถูกทำลายเพื่อผลิตเนื้อสัตว์อุตสาหกรรมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายพันล้านตันจะถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน ต้นไม้ที่ล้มมักจะถูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้นป่าหรือถูกเผาทำให้เกิดการปล่อยมลพิษต่อไป

ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ หากเราทำลายป่่า ก็จะไม่สามารถช่วยเราในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อีกต่อไป

3. เร่งให้ป่าฝนแอมะซอนไปถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

ต้นไม้ในป่าฝนแอมะซอนสามารถสร้างฝนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งช่วยให้ป่าทั้งป่ามีชีวิตชีวา แข็งแรงและอุดมสมบูรณ์ หากการตัดไม้ทำลายป่า (เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เช่น เนื้อสัตว์อุตสาหกรรม) ยังคงดำเนินต่อไปในอัตราปัจจุบัน ป่าแอมะซอน อาจไปถึง ‘จุดเปลี่ยน’ ซึ่งไม่สามารถดำรงตนเป็นป่าฝนได้อีกต่อไป

สิ่งนี้จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้คนและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นหรือผู้คนที่อาศัยพึ่งพาป่า และป่าเองโดยตรง นอกจากนี้ยังอาจทำให้ฝนตกน้อยลงส่งผลกระทบต่อน้ำดื่มและการชลประทานในพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้ และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสภาพอากาศในส่วนอื่น ๆ ของโลกด้วย

4. เป็นส่วนหนึ่งในการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการกอบโกยถือครองที่ดิน

คนพื้นเมืองและชุมชนดั้งเดิม เช่น ชุมชนเกราอิซิราในบราซิล เป็นแนวหน้าในการต่อสู้เพื่อปกป้องป่าไม้ การสืบสวนของกรีนพีซบราซิลแสดงให้เห็นว่า กองกำลังรักษาความปลอดภัยที่ทำงานให้กับผู้ผลิตถั่วเหลือง Agronegócio Estrondo ล่วงละเมิด กักขัง ลักพาตัวและยิงสมาชิกของชุมชนเกราอิเซระดั้งเดิม

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโบลโซนาโรและรัฐบาล สนับสนุนอย่างเป็นนัยให้คนลักลอบค้าไม้เถื่อน คนงานเหมืองและเกษตรกรผิดกฎหมาย เข้ายึดครองที่ดินของคนพื้นเมือง โดยการยกเลิกกฎระเบียบข้อบังคับดั้งเดิม และพยายามทำให้การกอบโกยที่ดินอย่างไม่เป็นธรรมถูกต้องตามกฎหมาย การรุกรานที่ดินมักจะกลายเป็นความรุนแรง และคนค้าไม้เถื่อนได้ฆ่าคนพื้นเมืองในความขัดแย้งนี้ JBS ผู้ผลิตเนื้อสัตว์จำนวนมากได้ถูกเชื่อมโยงหลายครั้งจากซัพพลายเออร์ที่ดำเนินการอย่างผิดกฎหมายบนที่ดินของคนพื้นเมืองที่ได้รับการคุ้มครอง

ฟาร์มปศุสัตว์และผู้ผลิตถั่วเหลืองในบราซิลมีประวัติการแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานทาสในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับ JBS (ยักษ์ใหญ่ด้านการแปรรูปเนื้อสัตว์) โรงฆ่าสัตว์ของ JBS ถูกเชื่อมโยงและพูดถึงในเรื่องสภาพการทำงานที่เลวร้าย  การแพร่ระบาดของโควิด19 และการส่งออกไก่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียแซลโมเนลลาจำนวนมาก

Dona Jô เกษตรกรอินทรีย์รายย่อยและ João ลูกชายของเธอ (ในภาพ) จากรัฐเอเคอร์ประเทศบราซิลสูญเสียทุกอย่างยกเว้นบ้านของพวกเขาในเหตุไฟป่าปี 2019 © Denisa Šterbová / Greenpeace

5. ทำลายชีวิตสัตว์ป่า

ด้วยการแผ้วถางป่า ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยและใช้สารกำจัดศัตรูพืชที่เป็นพิษเพื่อปลูกอาหารสัตว์ ทำให้เนื้อสัตว์อุตสาหกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายพันชนิดสูญพันธุ์ ซึ่งยังมีสัตว์อีกหลายชนิดและสายพันธุ์ที่เรายังไม่เคยค้นพบ

เราพึ่งพาสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อความอยู่รอดของเราเอง ความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของธรรมชาติ (ในบางครั้งถูกเรียกว่าความหลากหลายทางชีวภาพ) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอาหาร น้ำสะอาดและยา การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรวดเร็วซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำอุตสาหกรรมปศุสัตว์ อาจเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของเราเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เสือจากัวร์กำลังใกล้สุญพันธุ์ โดยสูญเสียที่อยู่อาศัยเกือบ 38% ในบราซิล พวกมันถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ใกล้ถูกคุกคาม” โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) © Pablo Petracci

6. เป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการระบาดเช่นเดียวกับไวรัสโคโรนาในอนาคต

การทำลายป่าและพื้นที่ป่าอื่น ๆ เพื่อการปศุสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญของโรคติดต่อใหม่  สามในสี่ของโรคใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์มาจากสัตว์ การตัดโค่นและเผาป่าทำให้สัตว์ป่าต้องขยับเข้ามาใกล้ชิดกับมนุษย์มากขึ้นทำให้ไวรัสร้ายแรงสามารถแพร่กระจายจากสัตว์สู่คนได้ ยิ่งป่าไม้ถูกทำลายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดครั้งใหม่มากเท่านั้น

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวจากเนื้อสัตว์อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมปศุสัตว์ยังสามารถเพิ่มการแพร่กระจายของโรคทั้งระหว่างจากสัตวฺสู่สัตว์และจากสัตว์สู่คน ความเสี่ยงยิ่งสูงกว่าสำหรับฟาร์มเนื้ออุตสาหกรรมเนื่องจากสัตว์จำนวนมากถูกอัดแน่นอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็ก และสัตว์เหล่านี้เองก็มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่า ซึ่งหมายความว่าไวรัสสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมีศักยภาพที่จะส่งผ่านไปยังมนุษย์

7. เป็นการกินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

บางครั้ง บริษัทต่าง ๆ ได้โต้แย้งว่าเนื้อสัตว์อุตสาหกรรมเป็นวิธีการผลิตอาหารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นการมองข้ามต้นทุนที่แท้จริงไป กว่าหนึ่งในสี่ของพื้นที่ทั้งหมดของโลกถูกใช้เพื่อเป็นทุ่งหญ้าให้อาหารสัตว์หรือปลูกเป็นพืชอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม ซึ่งเป็นอาหารที่คนกินได้ตั้งแต่แรก เนื้อไก่เพียง 1 กิโลกรัม ต้องใช้พืชถึง 3.2 กิโลกรัม ในการผลิต

หากทุกคนรับประทาน plant-based diet (อาหารที่ทำจากพืชเป็นส่วนใหญ่) เราจะต้องการพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่าที่เราใช้ในปัจจุบัน 75% ซึ่งเป็นพื้นที่เทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกาจีนยุโรปและออสเตรเลียรวมกัน นั่นเป็นเพราะเราใช้พื้นที่ในการปลูกอาหารให้มนุษย์โดยตรงน้อยกว่าที่ใช้เลี้ยงสัตว์ซึ่งมนุษย์กินเข้าไปเสียอีก

ในประเทศต่าง ๆ เช่นสหราชอาณาจักร ต้องรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมให้น้อยลง 70% ภายในปี 2030 เพื่อป้องกันการล้มเหลวของสภาพภูมิอากาศ การกินอาหารจากพืชเป็นส่วนใหญ่ทำให้เราสามารถเลี้ยงคนได้มากขึ้น ด้วยอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่เต็มไปด้วยโภชนาการที่จำเป็น โดยไม่ทำลายป่า

แต่นี่ไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจเฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น ซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น Tesco ก็มีบทบาทอย่างมากในการกำหนดความต้องการของลูกค้าผ่านการโฆษณาการลดราคาและโปรโมชั่นพิเศษ Tesco ขายเนื้อสัตว์และใช้ถั่วเหลืองเป็นอาหารสัตว์มากกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตอื่น ๆ ในสหราชอาณาจักร และแม้จะยุติการสนับสนุนการทำลายป่าภายในปี 2020 แต่พวกเขาก็ยังคงซื้อเนื้อสัตว์จากซัพพลายเออร์ที่เชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่า

เราไม่สามารถรออีก 10 ปีแล้วค่อยลงมือทำได้ นั่นเป็นเหตุผลที่กรีนพีซเรียกร้องให้ Tesco และ บริษัท อื่น ๆ เริ่มมีส่วนร่วม พวกเขาจำเป็นต้องลดจำนวนเนื้อสัตว์ที่ขายได้ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2025 และเลิกใช้เนื้อสัตว์อุตสาหกรรมทั้งหมดในที่สุด พวกเขาต้องแทนที่เนื้อสัตว์นั้นด้วยตัวเลือกอาหารจากพืชมากขึ้นและหยุดซื้อจาก บริษัทที่เป็นเจ้าของโดยผู้ทำลายป่าอย่าง JBS ทันที

ถึงเวลาปฏิวัติระบบอาหาร

ร่วมเรียกร้องให้ภาครัฐออกกฎหมายติดฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทุกประเภทโดยเปิดเผยถึงข้อมูลการเลี้ยงสัตว์ ที่มาอาหารสัตว์ว่าเชื่อมโยงกับการทำลายป่าและก่อหมอกควันพิษหรือไม่ รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ และการตกค้างในเนื้อสัตว์

มีส่วนร่วม