เนื้อหาโดยสรุป

  • ก่อนสถานการณ์ไวรัสโควิดระบาด ประเทศไทยตื่นตัวเรื่องปัญหาขยะพลาสติกอย่างมาก และกำลังขยายออกไปสู่ผู้คนในวงกว้าง หลังจากมี Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2561-2573 ออกมา และมีแนวโน้มว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคต
  • การที่ประชาชนต้องกักตัวในบ้าน/ที่พักของตน ส่งผลให้เกิดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งจำนวนมากขึ้น ยอดคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในแอปพลิเคชันหนึ่งในบางหมวดหมู่เพิ่มขึ้นถึง 12 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ในเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งจะกลายเป็น ‘วิกฤตแห่งความสะดวกสบาย’ ดังนั้น รัฐบาลต้องทบทวน Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2561-2573 ที่มุ่งไปสู่การลดปริมาณขยะพลาสติกใช้แล้วทิ้งให้เหลือศูนย์
  • เราอาจต้องเริ่มตั้งคำถามกับพฤติกรรมการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งของเราในฐานะผู้บริโภคว่า เรากำลังตกหลุมพลางของความสะดวกสบายอย่างไร ความจำเป็นต้องใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งในช่วงวิกฤติโรคระบาดกลายเป็นพฤติกรรมใหม่ของเรา และเรายังคงเห็นดีเห็นงามกับการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือไม่
  • ‘New Normal’ นี้อาจก่อให้เกิดขยะพลาสติกใช้แล้วทิ้งในปริมาณมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งต้องการความตระหนักรู้และการควบคุมพฤติกรรมของเราเช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ new normal ที่ว่านี้ทำลายโลกที่เราอาศัยอยู่ เราจะต้องตระหนักว่าสุขภาพของโลก = สุขภาพของเรา

การระบาดของไวรัสโควิดทำให้เกิด ‘ความปกติใหม่ (new normal)’ ในสังคมหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้งของคนเมือง อันมีสาเหตุมาจากการต้องอาศัยอยู่เฉพาะในบ้านช่วงไวรัสกำลังแพร่ระบาดจึงต้องใช้บริการบริษัทจัดส่งอาหาร (Food delivery) จนปริมาณขยะพลาสติกพุ่งสูงขึ้นมาก การใช้บริการซื้ออาหารกลับบ้านเพราะไม่สามารถนั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้ การซื้อสินค้าออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มพูนขยะพลาสติกจากบริการส่งสินค้า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้วัสดุเหลือใช้แล้วกลายเป็นขยะโดยสมบูรณ์ เพราะไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ คือ การไม่มีระบบแยกขยะที่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้ผู้บริโภคซึ่งต้องอยู่บ้านมากขึ้น แยกขยะเศษอาหารออกจากขยะอื่น ๆ จนทำให้ขยะทั้งหมดปนรวมเป็นก้อนเดียวกัน เมื่อขยะอาหารถูกทิ้งปะปนกับขยะพลาสติกหรือขยะอื่นก็จะลดทอนความเป็นไปได้ในการรีไซเคิลลงอย่างมาก ทั้งหมดนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ ‘new normal’ นี้ที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนของชีวิตและสุขภาพของเรา       

มลพิษพลาสติกก่อนไวรัสโควิดระบาด

ก่อนสถานการณ์ไวรัสโควิดระบาด ประเทศไทยตื่นตัวเรื่องปัญหาขยะพลาสติกอย่างมาก หลังจากประเทศไทยติดอันดับ 6 ประเทศที่ทิ้งขยะลงสู่ทะเลมากที่สุด (ข้อมูลจากงานวิจัยของ JENNA R. JAMBECK ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยจอร์เจีย) เราเป็นประจักษ์พยานต่อการเสียชีวิตของสัตว์ทะเลและสัตว์บกขยะพลาสติกกันบ่อยครั้ง หลายองค์กรเริ่มออกมารณรงค์ลดใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างจริงจัง เราได้เห็นการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ จากองค์กรเอกชน นักศึกษา หรือภาคประชาชนต่างช่วยกันมองหาและพัฒนาทางเลือกอื่นที่มีตามธรรมชาติ เช่น กล่องข้าวกาบหมาก ใบบัว/ใบตองห่ออาหาร แก้วไม้ไผ่ใส่เครื่องดื่ม เป็นต้น แม้ว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การลดใช้พลาสติกข้างต้นจะยังจำกัดเฉพาะกลุ่มเล็ก ๆ แต่ก็กำลังขยายออกไปสู่ผู้คนในวงกว้าง 

Brand Audit in Chiang Mai. © Baramee  Temboonkiat / Greenpeace
นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาสาสมัครกรีนพีซร่วมกันเก็บขยะบริเวณอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ทางขึ้นดอยสุเทพ ถนนศรีวิชัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และสำรวจแบรนด์จากขยะพลาสติกที่พบ © Baramee Temboonkiat / Greenpeace

จนโลกได้รู้จักกับ COVID-19 

ไวรัสโควิดระบาดเริ่มแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น ที่จีน ในเดือนธันวาคม 2562 เชื้อไวรัสได้เริ่มแพร่ระบาดไปสู่ประเทศอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง จนในวันที่ 13 มกราคม ประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 รายแรก หลังจากนั้น ภาครัฐเริ่มออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อจัดการและหยุดยั้งการแพร่ระบาด จนวันที่ 2 เมษายน มีการประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานทั่วราชอาณาจักร (เคอร์ฟิว) การประกาศปิดพื้นที่สาธารณะที่เป็นแหล่งรวมตัวของประชาชน หลายองค์กรออกมาตรการให้พนักงานทำงานที่บ้านมากขึ้น เป็นต้น รวมถึงการที่ร้านอาหาร/ร้านขายเครื่องดื่มบางแห่งงดรับภาชนะใช้ซ้ำ เนื่องจากกลัวการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส     

การที่ประชาชนถูกขอความร่วมมือให้ต้องอาศัยอยู่เฉพาะในบ้าน/ที่พักของตนเองนั้น ส่งผลให้เกิดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งจำนวนมากขึ้น มีข้อมูลระบุว่า ขยะจากบริการส่งอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จาก 1,500 ตันต่อวันเป็น 6,300 ตันต่อวัน ยอดคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในแอปพลิเคชันหนึ่งในบางหมวดหมู่เพิ่มขึ้นถึง 12 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ในสถานการณ์ปกติ ขยะที่นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลมีเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น จากขยะทั้งหมดทั่วประเทศกว่าปีละ 2 ล้านตัน ดังนั้น เราจึงอาจต้องจินตนาการถึงมลพิษพลาสติกที่เกิดขึ้นตอนนี้และกำลังจะเกิดในอนาคต รวมถึงยุทธศาสตร์การจัดการขยะในบริบทใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่พฤติกรรมการใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้งจะกลายเป็น ‘new normal’

ฝูงนกกระยางบินเหนือภูเขาขยะ บริเวณหลุมฝังกลบ เมืองดูมาเกเต ฟิลิปปินส์ มีพลาสติกเพียง 9% เท่านั้นที่ถูกรีไซเคิลหลังจากการผลิตตั้งแต่ปีพ.ศ.2493 ส่วนพลาสติกที่เหลือจะไปจบลงที่หลุมฝังกลบเหมือนในภาพนี้

#BetterNormal โลกหลัง COVID-19 ที่เราอยากเห็น 

เราอาจต้องเริ่มตั้งคำถามกับพฤติกรรมการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งของเราในฐานะผู้บริโภคว่า เรากำลังตกหลุมพลางของความสะดวกสบายอย่างไร ความจำเป็นต้องใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งในช่วงวิกฤติจะกลายเป็นพฤติกรรมใหม่ของเรา และเรายังคงเห็นดีเห็นงามกับการบริโภคพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างฟุ่มเฟือยหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสนี้จำเป็นต้องมีการตั้งคำถามอีกครั้งหลังจากโควิด-19 ผ่านพ้นไป เพราะการที่เราคุ้นชินกับพฤติกรรมการบริโภคแบบใหม่ หมายถึงว่า เรากำลังสร้างโลกที่เต็มไปด้วยขยะพลาสติกและผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับมลพิษพลาสติกก็หนีไม่พ้นตัวเราเอง สัตว์และธรรมชาติ และนั่นคงไม่ใช่ New Normal ในแบบที่เราต้องการ

ในฐานะพลเมือง เราต้องช่วยกันตั้งข้อคำถามถึง Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2561-2573 กว่า มันเพียงพอหรือไม่ที่จะจัดการไม่ให้เกิดขยะพลาสติกจำนวนมากในระบบและจัดการกับขยะพลาสติกที่มีอยู่ โดยตั้งเป้าหมาย ขยะเหลือศูนย์(zero waste) ซึ่งเน้นการลดขยะให้มากที่สุดและใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อให้เหลือวัสดุเหลือใช้จากการบริโภคไปสู่หลุมฝังกลบน้อยที่สุด มาเป็นแนวคิดหลักในการสร้างแผนงานที่เป็นรูปธรรมและดำเนินการทันทีอย่างจริงจัง ภาครัฐจำเป็นต้องทบทวน ยกระดับและปรับเปลี่ยน roadmap ให้เท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการไม่สร้างขยะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการจัดการมลพิษพลาสติกที่ได้ผลดีที่สุดวิธีหนึ่ง

 "Bring Your Own Cup" Plastic Free Event in Beijing, China. © Siwen Liu / Greenpeace
นำแก้วส่วนตัวไปซื้อเครื่องดื่มเรามั่นใจได้ว่าแก้วที่เราล้างเองปลอดภัยแน่นอน © Siwen Liu / Greenpeace

สุขภาพสิ่งแวดล้อม  = สุขภาพของเรา 

หลายองค์กรเริ่มคาดการณ์ ‘new normal’ ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จบลง ในมุมมองของ กรีนพีซ เรามีข้อเสนอที่ปฏิบัติได้จริงเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ปราศจากมลพิษพลาสติก ดังนี้ 

  1. ประชาชนสั่งซื้ออาหารจากบริการจัดส่งอาหารมากขึ้น กรีนพีซเห็นว่า การสั่งซื้ออาหารออนไลน์มีการใช้ภาชนะใช้ซ้ำที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ตลอด ถ้าผู้บริโภคสั่งซื้อมากินที่บ้านก็ปฏิเสธรับอุปกรณ์กินอาหาร เช่น ช้อนส้อม หลอด ด้วย แอปพลิเคชันให้บริการต่าง ๆ สามารถเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าด้วยบริการภาชนะใช้ซ้ำและเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถปฏิเสธพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งที่ใช้ได้ผลจริงด้วย     
  1. ธุรกิจออนไลน์จะมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ แม้ว่าการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ของมนุษย์จะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เพราะเราคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เราก็จะรู้สึกว่าการใช้บริการต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์สะดวกสบายขึ้น สิ่งที่น่ากังวลคือ ขยะพลาสติกที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เราเสนอให้ร้านค้าเพิ่มช่องทางการจัดส่งสินค้าที่ลดใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งให้มากที่สุดและนำวัสดุที่ยั่งยืนกว่ามาเป็นทางเลือกแทนการใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้ง   
  1. ผู้คนหันมาใช้บริการธุรกิจขนาดเล็กในระดับภูมิภาคเพราะต้องการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นทิศทางที่ดีที่ธุรกิจขนาดเล็กจะมีโอกาสพัฒนาสินค้าและบริการของตนเองเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ทางหนึ่งคือช่วยลดมลพิษที่เกิดจากการขนส่ง ประชาชนได้บริโภคผักผลไม้ตามฤดูกาล เราอยากเห็นการซื้อขายภายในชุมชนหรือภูมิภาคที่ผู้ผลิตลดใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งที่เกิดจากการขนส่งทางไกลและผู้ผลิตไม่มีการห่อหุ้มสินค้าหลายชั้นด้วยพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งเพื่อรักษาสภาพของสินค้า เพราะการซื้อขายกับผู้บริโภคอยู่ไม่ไกลกันมาก
  1.  การดูแลสุขภาพและความสะอาดเป็นเรื่องปกติในสังคม เรื่องสุขอนามัยจะเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญมากขึ้น เราจะเห็นประชาชนพกแอลกอฮอล์ล้างมือจนเป็นสิ่งปกติ ซึ่งเราเองก็พอจะทราบกันดีว่า อุปกรณ์ทำความสะอาดมือย่อมมาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์พลาสติก ดังนั้น เราจึงอยากเห็น ผู้บริโภคนำภาชนะใช้ซ้ำของตนเองไปเติมสินค้าในร้านค้าแบบเติมแทนการซื้อสินค้าชิ้นใหม่ หรือผู้ผลิตมีโครงการเก็บรวบรวมบรรจุภัณฑ์เปล่าที่ลูกค้าใช้หมดแล้วของแบรนด์สินค้าตนเอง เพื่อนำไปสู่กระบวนการใช้ซ้ำ หรือแม้แต่การรีไซเคิลต่อไป 

‘New Normal’ นี้อาจก่อให้เกิดขยะพลาสติกใช้แล้วทิ้งในปริมาณมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งต้องการความตระหนักรู้และการควบคุมพฤติกรรมของเราเช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ new normal ที่ว่านี้ทำลายโลกที่เราอาศัยอยู่ เราจะต้องตระหนักว่าสุขภาพของโลก = สุขภาพของเรา และมลพิษต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับโลกแม้ดูเหมือนว่าจะห่างไกลตัวเราสักเพียงใด แต่อาจย้อนกลับมาสู่ตัวเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

New normal  ไม่ควรเป็นไปเพื่อเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายระยะสั้น เราต้องการ #BetterNormal อนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก ผู้คนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และอยู่ร่วมอย่างกลมกลืนและสอดคล้องระบบนิเวศ

และพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งไม่ควรจะเป็น New Normal ของเราอีกต่อไป

#GreenRecovery #BetterNormal