กรุงเทพฯ, 16 มีนาคม 2566
– รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2565 ของ IQAir [1]  ระบุว่าคุณภาพอากาศของไทยแย่ติดอันดับ 5 จากทั้งหมด 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอยู่อันดับที่ 57 จาก 131 ประเทศ และทุกภูมิภาคทั่วโลก 

รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2565 นี้เป็นรายงานฉบับที่ 5 ซึ่ง IQAir จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลคุณภาพอากาศ PM2.5 จาก 7,323 เมือง ใน 131 ประเทศ และภูมิภาค โดยรวบรวมข้อมูลมาจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศภาคพื้นดินกว่า 30,000 แห่งทั่วโลก และใช้เกณฑ์แนะนำคุณภาพอากาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นค่าพื้นฐานในการนำเสนอข้อมูลคุณภาพอากาศ 

ข้อค้นพบหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทย

  • ในปี 2565 พบว่า 7 จาก 9 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความเข้มข้นฝุ่น PM2.5 ลดลง มีเพียง สปป.ลาวและเวียดนามเท่านั้นที่มีความเข้มข้นฝุ่น PM2.5 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2564
  • อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีความเข้มข้น PM2.5 เฉลี่ยสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 30.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาคือ สปป. ลาว 27.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และเวียดนาม 27.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
  • กัมพูชาเป็นประเทศที่มีความเข้มข้น PM 2.5 น้อยสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีค่าเฉลี่ย อยู่ที่ 8.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรลดลงจากปี 2564 ร้อยละ 58 
  • มีเพียง 8 เมืองจากทั้งหมด 296 เมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นที่ผ่านหลักเกณฑ์ค่าแนะนำคุณภาพอากาศ PM 2.5 ฉบับปรับปรุงล่าสุดปี 2564 ของ WHO
  • ไทยและอินโดนีเซียมีจำนวนเมือง/ อำเภอ ที่มีมลพิษมากที่สุดจากทั้งหมด 15 อันดับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ไทยมี 7 อำเภอที่มีมลพิษสูงคือ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี, อ.เมืองน่าน จ.น่าน, อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ, คลองตาคต จ.ราชบุรี, ท่าวาสุกรี จ.พระนครศรีอยุธยา, ดอนหัน จ.ขอนแก่น ,ยางซ้าย จ.สุโขทัย และอินโดนีเซียมี 5 เมืองคือ ปาซาร์เคมิส, ชีเลงเซีย, จาการ์ตา, เบกาซี, สุราบายาตามลำดับ
  • ความเข้มข้น PM2.5 เฉลี่ยของไทยปี 2565 อยู่ที่ 18.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงกว่าปี 2564 ร้อยละ 10.4
  • กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีความเข้มข้นฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยรายปี สูงเป็นอันดับที่ 5  ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับที่ 52 ของโลก มีค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 18 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

แม้ว่าปี 2565 ไทยมีคุณภาพอากาศดีขึ้นเมื่อเทียบปี 2564 อันเนื่องมาจากปัจจัยทางสภาพภูมิอากาศ เช่น ความชื้นสูงและพายุอันเนื่องมาจากปรากฎการณ์ลานีญา แต่มาตรการของรัฐบาลยังห่างไกลจากการต่อกรวิกฤตมลพิษทางอากาศที่รากเหง้าอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ซึ่งเห็นได้จากความเข้มข้นฝุ่น PM2.5 โดยรวมของประเทศยังสูงกว่าค่าแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ขณะเดียวกันยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานการปล่อยฝุ่น PM2.5 จากแหล่งกำเนิดหลัก (Emission Standard) และการเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register หรือ PRTR) ที่จะเป็นเครื่องมือให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบและป้องกันสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 และมลพิษอื่น ๆ ได้ 

อัลลิยา เหมือนอบ นักรณรงค์ด้านมลพิษทางอากาศ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า

“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยต้องกำหนดให้มีมาตรฐานการปล่อยมลพิษ PM 2.5 จากปลายปล่องและจากแหล่งกำเนิดหลัก (Emission Standard) และออกกฎหมาย PRTR ที่จะช่วยให้รัฐบาลสามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม กำหนดแนวทางการวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษ PM2.5  ตลอดจนติดตามตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมาย การวางแผนรองรับเหตุฉุกเฉิน ลดใช้สารเคมีเป็นพิษในกระบวนการผลิตและการลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด เพื่อเป็นการคุ้มครองสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นทาง”

ประชาชนในภาคเหนือของไทยมีความเสี่ยงต่อผลกระทบด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี ข้อมูลในรายงานของกรีนพีซ ประเทศไทยพบว่าการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาคเหนือตอนบนของไทย และการขยายการลงทุนของบริษัทอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของไทยเพื่อผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง คือสาเหตุหนึ่งของมลพิษข้ามพรมแดนที่มีความเชื่อมโยงกับวิกฤตฝุ่นควันในภาคเหนือ

รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ด้านอาหารและเกษตรกรรมเชิงนิเวศ  กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวสรุปว่า 

“สิ่งที่ยังขาดหายไปคือกลไกทางกฎหมายและการกำหนดนโยบายที่สามารถเอาผิดอุตสาหกรรมที่เขื่อมโยงกับการก่อฝุ่นพิษข้ามพรมแดนและการทำลายป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนเป็นภารกิจที่เร่งด่วนที่ภาครัฐจำเป็นต้องแสดงเจตนารมณ์และดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการกำหนดมาตรการและนโยบายเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมมีภาระรับผิดต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมและผลกระทบทางสุขภาพ เพื่อต่อกรกับความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และปกป้องสุขภาพของประชาชน”

ในเดือนเดียวกันนี้ กรีนพีซ ประเทศไทยเปิดตัวแคมเปญ #VoteForClimate เข้าคูหากาสิ่งแวดล้อม นำเสนอนโยบายสิ่งแวดล้อมต่อพรรคการเมือง”[4] ปัญหาฝุ่น PM2.5 คือหนึ่งในประเด็นสิ่งแวดล้อมที่กรีนพีซ ได้ทำข้อเสนอนโยบายสิ่งแวดล้อมเพื่อพลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม

ร่วมผลักดันกฎหมาย #OpenDataมลพิษ #ThaiPRTR ร่วมกับมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณนิเวศ และกรีนพีซได้ที่ https://act.gp/IQAIR-ThaiPRTR

เกี่ยวกับ IQAir 

IQAir เป็นบริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศในสวิตเซอร์แลนด์ที่ส่งเสริมให้ บุคคล อhttps://act.gp/airpollution-iqair-2022-reportงค์กร และชุมชน ใช้ข้อมูลปรับปรุงคุณภาพอากาศ การทำงานร่วมกัน และเทคโนโลยีการแก้ปัญหา 

หมายเหตุ

[1] รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2565 ของ IQAir สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://act.gp/airpollution-iqair-2022-report

[2] รายงาน “เติบโตบนความสูญเสีย: ผลวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม 20 ปีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และเกษตรพันธสัญญาในภาคเหนือของไทย

[3] ปี 2564 องค์การอนามัยโลก (WHO)ได้ปรับปรุงเกณฑ์แนะนำคุณภาพอากาศในรอบ 15 ปี ซึ่งกำหนดเกณฑ์ค่าแนะนำ PM2.5 เฉลี่ยรายปีไว้ที่ 5 ไมโครกรัมต่ลูกบาศก์เมตร และค่า PM 2.5 เฉลี่ยรายวันไว้ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 

[4] ข้อเสนอนโยบายสิ่งแวดล้อมของกรีนพีซ ประเทศไทย ต่อพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 2566 https://act.gp/VoteForClimatePolicy

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ

ชลธร วงศ์รัศมี ผู้ประสานงานสื่อมวลชน กรีนพีซ ประเทศไทย

อีเมล. [email protected]  โทร. 084 154 5972