จากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลจำนวน 400,000 ลิตร จากท่อใต้ทะเลของทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเล ของบริษัทสตาร์ปิโตรเลี่ยม รีไฟน์นิ่ง จำกัด มหาชน(SPRC) [1] ในบริเวณมาบตาพุด จังหวัดระยอง ในช่วงกลางคืนวันที่ 25-26 ม.ค. 2565 และจากการชี้แจงผ่านแถลงการณ์ของ SPRC ที่ระบุว่า สามารถหยุดการรั่วไหลและคุมสถานการณ์ได้นั้น

กรีนพีซ ประเทศไทย ในฐานะเป็นองค์กรอิสระรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม มีความเห็นและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

  1. ทะเลไทยซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของไทย ถูกคุกคามมาโดยตลอดจากการรั่วไหลของน้ำมันตามเส้นทางขนส่งน้ำมันกลางทะเล ในบริเวณที่มีการขนถ่ายของเรือบรรทุกน้ำมัน หรือจากการดำเนินการขุดเจาะน้ำมัน เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอุบัติภัยน้ำมันรั่วครั้งล่าสุดในทะเลไทยที่เกิดขึ้นมากกว่า 235 ครั้งในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา และไม่ใช่ครั้งแรกของอุบัติภัยน้ำมันรั่วของบริษัทสตาร์ปิโตรเลี่ยม รีไฟน์นิ่ง จำกัด มหาชน(SPRC) ในปี 2540 เกิดเหตุน้ำมันรั่วระหว่างการขนถ่ายน้ำมันจากเรือ Once สู่สถานีน้ำมันดิบของบริษัททำให้น้ำมันดิบกว่า 160,000 ลิตรรั่วไหลลงทะเล
  2. อุบัติภัยน้ำมันรั่วล่าสุดในวันที่ 25-26 มกราคมครั้งนี้ แม้ว่าทางบริษัท SPRC จะขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น แจ้งเตือนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนในพื้นที่ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือความชัดเจนของข้อมูลที่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน การชี้แจงว่าสามารถหยุดการรั่วไหลและคุมสถานการณ์นั้นยังไม่เพียงพอ บริษัท SPRC ต้องมีภาระรับผิด(accountability) กับอุบัติภัยที่เกิดขึ้น และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศทางทะเล ชายฝั่งและชุมชนที่อาจจะเกิดขึ้น
  3. บริษัทสตาร์ปิโตรเลี่ยม รีไฟน์นิ่ง จำกัด มหาชน(SPRC) ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขจัดคราบน้ำมันและผลกระทบอื่นๆ ที่อาจจะตามมาและควรต้องมีการดำเนินการตรวจสอบโดยคณะอนุกรรมการว่าด้วยการฟื้นฟูและการประเมินความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมซึ่งเกิดจากมลพิษจากน้ำมัน 
  4. ภาระรับผิด(accountability)ของบริษัท SPRC ไม่ใช่เพียงแค่ดำเนินการขจัดคราบน้ำมันรั่ว แต่ต้องเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างโดยทันทีเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศทางทะเล ชุมชนชายฝั่งทะเลและการท่องเที่ยว ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะจะต้องชัดเจนและโปร่งใส ซึ่งนอกจากใช้ในการจัดการปัญหาอย่างมีส่วนร่วมทั้งภาครัฐ  เอกชน และภาคประชาสังคม  และข้อมูลที่ชัดเจนจะมีความสำคัญยิ่งต่อการประเมินผลกระทบและความเสียหาย การฟื้นฟูการปนเปื้อนมลพิษที่จะเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศทางทะเลในระยะสั้นและระยะยาว การเยียวยาที่ถูกต้องและเป็นธรรมหากเกิดความเสียหายขึ้น รวมถึงมาตรการป้องกันอุบัติภัยในอนาคต [2] 

กรีนพีซ ประเทศไทย เรียกร้องให้ รัฐบาลไทยทบทวนแผนพลังงานชาติโดยเร่งด่วนเพื่อปลดแอกเชื้อเพลิงฟอสซิล และยุติแผนการขยายการขุดเจาะน้ำมันหรือก๊าซฟอสซิลซึ่งทำให้วิถีชีวิต สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและชุมชนต้องแบกภาระจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

หมายเหตุ 

[1] บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจประเภทการผลิตปิโตรเลียมและ ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม จัดตั้งขึ้นในปี 2535 โดยมีเชฟรอนถือหุ้นในสัดส่วน 64% และ ปตท. ถือหุ้นในสัดส่วน 36% ต่อมาในปี 2560 บริษัท ถือหุ้นโดยเชฟรอนในสัดส่วน 60.56% และประชาชนทั่วไป ในสัดส่วน 39.44% ในปี 2562 ได้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 175,000 บาร์เรลต่อวัน

[2] ข้อมูลเหล่านี้ได้แก่ (1) ปริมาณน้ำมันดิบทั้งหมดที่รั่วไหล ได้ถูกกำจัดและแพร่กระจายไปยังที่ใดบ้าง เป็นปริมาณเท่าใด อาทิ ปริมาณที่ถูกกำจัดโดยการโปรยสารเคมี ปริมาณที่เก็บกู้ได้ ปริมาณที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม เป็นต้น (แสดงหลักฐานและอธิบายโดยละเอียด) (2) การรั่วไหลในครั้งนี้มีสาเหตุที่แท้จริงจากอะไร เช่น เป็นอุบัติเหตุ อุปกรณ์เสื่อมคุณภาพหรือละเลยที่จะซ่อมบำรุงระบบ (3) ที่ผ่านมาบริษัทมีแผนการจัดการอุบัติภัยหรือไม่ และเคยมีการซักซ้อมหรือไม่ อย่างไร (4) ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในปฏิบัติการ (รวมถึงการยืมตัวบุคลากรจาก หน่วยงานราชการต่างๆ) (5) ต้องเปิดเผยและชี้แจงว่าบริษัทได้ปฏิบัติตามมาตรการลดและขจัดมลพิษจากการรั่วไหลของน้ำมันที่ระบุไว้ในรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ของโครงการ หรือไม่ (6) สารเคมีสลายคราบน้ำมันที่ใช้ทั้งหมดมีกี่ชนิด มีองค์ประกอบอะไรบ้าง แต่ละชนิดมีปริมาณเท่าใด ได้มาจากแหล่งใดบ้าง ขั้นตอนการใช้สารเคมีทั้งหมด แฃะข้อมูลความเป็นพิษและความปลอดภัยของสารเคมีที่ใช้ และผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว